inskru
insKru Selected

วิธีสื่อสารความห่วงใย ให้เด็กอยากแก้ไขข้อผิดพลาด

11
3
ภาพประกอบไอเดีย วิธีสื่อสารความห่วงใย ให้เด็กอยากแก้ไขข้อผิดพลาด

สื่อสารความห่วงใย ให้เด็กอยากแก้ไขข้อผิดพลาด ด้วย 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1.) ป้องกันการทำผิดไปกับ เกมจะเกิดอะไรขึ้น ถ้า...? 2.) จัดการปัญหา ด้วยการชวนคิด ชื่นชม และให้กำลังใจ 3.) ทบทวนด้วยการสมมุติว่าเราเป็นเด็ก

3 ขั้นตอนการสื่อสารความห่วงใย ให้เด็กอยากแก้ไขข้อผิดพลาด

เราเชื่อว่าคุณครูทุกคนคงอยากให้เด็ก ๆ รู้จักยอมรับและเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง แต่บางครั้งก็อาจจะเกิดปัญหา เช่น เด็ก ๆ ไม่กล้ายอมรับผิด ไม่กล้าคุยกับคุณครู หรือพยายามปกปิดความผิดของตัวเอง ซึ่งมีงานวิจัยของคุณ Kang Lee และคณะในปี 2014 ที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ พบว่า การอ่านนิทานที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับผลเสียที่ตามมาเมื่อทำความผิด เช่น พินอคคิโอ และเด็กเลี้ยงแกะ แทบจะไม่ช่วยให้เด็ก ๆ ยอมสารภาพผิด ในขณะที่นิทานเกี่ยวกับการให้อภัยและชื่นชมเมื่อยอมรับผิด อย่างเรื่องจอร์จ วอชิงตันกับต้นเชอร์รีนั้น กลับทำให้เด็ก ๆ ยอมสารภาพผิดมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ 

จะเห็นได้ว่าวิธีการพูดคุย หรือสื่อสารกับเด็ก ๆ นั้นมีผลต่อความกล้าที่จะยอมรับผิดของพวกเขา และความพร้อมที่จะเรียนรู้จากการแก้ไข ดังนั้น วันนี้เราเลยมีวิธีการสื่อสาร เพื่อสร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้เอื้อต่อการเรียนรู้ ทั้งการลองถูกและลองผิด โดยมี 3 ขั้นตอน ดังนี้


ขั้นตอนที่ 1 ป้องกันการทำผิดไปกับ เกมจะเกิดอะไรขึ้น ถ้า...?

แม้บทลงโทษจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เด็ก ๆ ไม่กล้าทำผิด ขณะเดียวกันก็อาจจะทำให้เด็ก ๆ ไม่กล้าสารภาพผิดไปด้วย เพราะกลัวการถูกลงโทษเหมือนการทดลองของคุณ Kang Lee ดังนั้น จะดีกว่าไหมถ้าเด็ก ๆ เข้าใจตั้งแต่ต้นว่าทำไมควร หรือไม่ควรทำสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเราขอนำเสนอเกมที่ชื่อว่า จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า…? สำหรับคาบแรกของคุณครูกัน

เกมนี้คือการสร้างข้อตกลงในห้องเรียนเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ การชวนคิด ว่าทำไมต้องมีข้อตกลงเหล่านี้ และหากไม่ทำตามจะส่งผลกระทบต่อตัวเองและคนอื่นยังไงบ้าง เช่น การตั้งกฎว่าห้ามกินขนมในห้อง ถ้าใครไม่ทำตามจะต้องทำความสะอาดห้องเรียน ซึ่งคุณครูอาจจะเริ่มเกมด้วยบทสนทนา ดังนี้


คุณครู : จะเกิดอะไรขึ้น ถ้ากินขนมในห้องเรียน ?
นักเรียน : ถ้าขนมหกอาจจะมีมดในห้อง
คุณครู : จะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามีมดในห้องเรียน ? 
นักเรียน : มดกัดเจ็บ แถมไล่มดยาก 
คุณครู : แล้วเราทำยังไงได้บ้าง ? 
นักเรียน : กวาดเจ้ามดออกไป หรือใช้ยาฉีดมด


จากนั้นคุณครูอาจจะชวนคิดว่า ถ้าใช้ไม้กวาดคงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีทั้งมดบนโต๊ะ เก้าอี้ และบนพื้น แถมมดยังขยับตัวตลอดเวลา บางทีก็ไต่ไม้กวาดขึ้นมากัดเราได้ หรือถ้าใช้ยาฉีดมดก็มีกลิ่นฉุนในห้องเรียนอีก แล้วค่อยสรุปตอนท้ายว่า คงจะดีกว่า ถ้าเราไม่กินขนมในห้องเรียนตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องทำความสะอาดยาก หรือเสี่ยงโดนมดกัดในห้องเรียน 

ในความเป็นจริง คำตอบของเด็ก ๆ อาจจะมากกว่านี้ ซึ่งคุณครูก็สามารถทดคำตอบไว้บนกระดาน แล้วชวนคุยถึงประเด็นที่น่าสนใจต่อไปได้ ซึ่งการถามต่อไปเรื่อย ๆ แบบนี้มีส่วนช่วยในการป้องกันการทำผิดพลาดตั้งแต่ต้น เพราะทำให้นักเรียนได้เข้าใจถึงที่มาของกฎหรือข้อตกลง รวมทั้งผลกระทบต่อตนเองและคนอื่น มากกว่าการรับรู้ว่าต้องทำตามเพียงอย่างเดียว



ขั้นตอนที่ 2 จัดการปัญหา ด้วยการชวนคิด ชื่นชม และให้กำลังใจ

เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เด็ก ๆ ทำผิดพลาด นอกจากจะลงโทษตามข้อตกลงแล้ว การสร้างความรู้สึกมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาก็สำคัญเช่นกัน เพราะการลงโทษเพียงอย่างเดียว อาจทำให้พวกเขารู้สึกว่าไม่สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น การให้เด็ก ๆ แสดงความคิดเห็น หรือหาทางออกจากสิ่งที่เขาทำผิดพลาด จะช่วยให้พวกเขาได้ฝึกคิดแก้ปัญหา ไปพร้อมกับการฝึกความรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง  


เช่น เมื่อเด็ก ๆ ลืมเอาสมุดมา คุณครูอาจจะให้ลองแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อย่างการยืมกระดาษของเพื่อน ๆ แล้วช่วยกันหาวิธีที่จะไม่ลืมสมุดอีก อย่างการเขียนเช็กลิสต์สิ่งของที่ต้องเตรียมในแต่ละวัน ไว้ตรวจสอบก่อนออกจากบ้าน เป็นต้น


นอกจากนี้ เราอยากให้หลีกเลี่ยงประโยค “นั่นไง ว่าแล้ว” หรือ “นี่ไง เพราะเป็นคนแบบนี้” เพราะอาจทำให้เด็ก ๆ ตีความว่า ความผิดที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่จะติดตัวเขาไปตลอด จนหมดหวังและหมดไฟที่จะแก้ไข แต่เปลี่ยนมาเป็นการให้กำลังใจเด็ก ๆ ที่มีความพยายามแก้ไขปัญหา หรือชื่นชมเมื่อพวกเขาทำสิ่งที่ถูกต้องแทน เพื่อช่วยให้เด็ก ๆ รู้สึกว่า มาถูกทางแล้วนะ มีคนมองเห็นสิ่งดี ๆ ที่เขาทำ และมีกำลังใจในการทำสิ่งเหล่านี้ต่อไป


ขั้นตอนที่ 3 ทบทวนด้วยการสมมุติว่าเราเป็นเด็ก

เมื่อเราโตขึ้น บางครั้งก็หลงลืมมุมมองแบบเด็ก ๆ ไป หรือคิดว่าวิธีที่เลือกนั้นดีที่สุดแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นอย่างที่คิดทุก ๆ ครั้ง เพราะเด็ก ๆ อาจจะไม่ได้ตีความแบบเดียวกันกับเรา

เช่น การดุนักเรียนต่อหน้าเพื่อน ๆ สำหรับเราอาจจะบอกว่ามาจากความเป็นห่วงและหวังดี แต่เด็กบางคนอาจจะกลัว อับอาย จนไม่กล้าพูดคุยกับคุณครูได้อย่างเปิดใจอีกต่อไป

ดังนั้น เราเลยอยากชวนคุณครูให้ลองกลับมาทบทวนดูอีกครั้ง ว่านอกจากมุมมองของเราแล้ว ถ้าเราเป็นเด็กจะรู้สึกยังไงกันนะ หรือวิธีนี้มีข้อดีข้อเสียยังไงบ้าง โดยวางความเป็นผู้ใหญ่หรืออคติ (Bias) ในใจเอาไว้ก่อน เพื่อให้ได้มุมมองที่หลากหลาย และสามารถเลือกวิธีที่สื่อสารความห่วงใยได้เหมาะกับเด็ก ๆ มากยิ่งขึ้น

หวังว่า 3 ขั้นตอนนี้ จะสามารถนำไปปรับใช้ในห้องเรียนได้ หรือเป็นประโยชน์กับคุณครูที่ต้องการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็ก ๆ พร้อมที่จะเรียนรู้ทั้งการลองผิดและลองถูก เพื่อให้พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ และพร้อมจะรับผิดชอบการกระทำของตัวเองไม่ว่าจะผิดหรือถูกก็ตาม


อ่านบทความเรื่องนี้เพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/2YwQSbv หรือติดตามบทความอื่น ๆ ได้ใน https://blog.startdee.com/ 


Reference 

What Every Teacher Should Know About...Punishment Techniques and Student Behavior Plans. (n.d.). Retrieved June 23, 2020, from interventioncentral.org/behavioral-interventions/challenging-students/what-every-teacher-should-know-about…punishment-techni

Lee, K., Talwar, V., McCarthy, A., Ross, I., Evans, A., & Arruda, C. (2014). Can Classic Moral Stories Promote Honesty in Children? Psychological Science, 25(8), 1630–1636. https://doi.org/10.1177/0956797614536401

Lee, K. (2018, July 23). How Should You React When Your Child Makes a Mistake? Retrieved May 27, 2020, from https://www.verywellfamily.com/what-to-do-when-your-child-makes-a-mistake-4050012

การจัดการชั้นเรียนเทคนิคการสอน

ไอเดียนี้เป็นไงบ้าง?

11
ได้แรงบันดาลใจ
3
ลงไอเดียอีกน้า~
แบ่งปันโดย
StartDee

อยากร่วมแลกเปลี่ยน?

please login

แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru

เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย

icon-please-commentมาเป็นคนแรกที่แลกเปลี่ยนสิ!
credit idea

ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!

ไอเดียน่าอ่านต่อ