เชื่อว่าครูหลายคนเคยประสบพบเจอกับปัญหาเหล่านี้ เด็กไม่สนใจการเรียน กิจกรรมที่จัดไม่ตอบโจทย์ สื่อที่ทำออกมาดึงดูดเด็กได้ไม่ดีพอ ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เพราะวันนี้ผมจะพาทุกคนไปรู้จักกับ ADDIE model แนวคิดการออกแบบสื่อที่จะเข้ามาช่วยเหลือครูทุกคนให้ออกแบบสื่อได้ตอบโจทย์กับผู้เรียนมากขึ้น ถ้าพร้อมแล้วก็ไปรู้จักกับ ADDIE Model พร้อมกันเลย...
.
ADDIE Model คืออะไร
ADDIE Model คือ เป็นแนวคิดกระบวนการออกแบบหลักสูตร สื่อ กิจกรรมตั้งแต่จุดเริ่มต้น ไปจนถึงขั้นตอนสุดท้าย อย่างเป็นระบบระเบียบ โดยจะเน้นไปที่การเก็บข้อมูลอย่างละเอียดเพื่อนำข้อมูลนั้นมาออกแบบ ตัวสื่อ หลักสูตร และกิจกรรมให้ครอบคลุมกลุ่มผู้เรียน โดยกระบวนการออกแบบสื่อของ ADDIE Model นั้นประกอบด้วยขั้นตอน 5 อย่างดังนี้
1. วิเคราะห์ (Analysis)
เป็นขั้นตอนที่เราจะวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ออกแบบ บทเรียน สื่อหรือกิจกรรม โดยข้อมูลที่เราจะต้องวิเคราะห์ประกอบด้วยข้อมูลคร่าวๆดังนี้
วิเคราะห์สภาพปัจจุบัน
วิเคราะห์ผู้เรียน
ระบุวัตถุประสงค์การเรียนรู้
วิเคราะห์ข้อจำกัดและทรัพยากรที่จำเป็น
2. ออกแบบ (Design)
ขั้นตอนการออกแบบจะเป็นขั้นที่เรานำข้อมูลที่วิเคราะห์ รวบรวมในขั้นก่อนหน้านี้ มาใช้ออกแบบแผนการเรียน สื่อ หรือกิจกรรมของเราให้ออกมาเป็นระบบระเบียบเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยในขั้นนี้ จะนำหัวข้อปัญหาที่เราระบุได้ มาลอง Brain storm หาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาจัดทำเป็นสื่อ หรือแผนการเรียน โดยเครื่องมือที่แนะนำให้ใช้ในขั้นนี้คือ
2.1. Brain storm chart
เครื่องมือตัวนี้จะช่วยให้เราเห็นข้อมูลในมุมกว้างของเนื้อหาที่เราหยิบยกมาออกแบบ
ที่มาภาพ: https://th.bing.com/th/id/OIP.CBiUzR-1hgeMy2nl26mkawHaE2?pid=Api&rs=1
2.2. Concept chart
เครื่องมือตัวนี้เป็นการต่อยอดจาก Brain storm chart โดยการนำข้อมูลใน Brain storm chart มาจัดแบ่งประเภทให้ถูกต้องเพื่อให้ง่ายต่อการนำไปออกแบบ แผนการเรียน กิจกรรม หรือ สื่อ เมื่อกำหนดเนื้อหาและจัดแบ่งประเภทได้แล้ว ก็มาสู่ขั้นต่อไปคือ การจัดทำ Flow Chart
***ตัวอย่างการจัดประเภท เช่น สีแดงคือการจัดประเภทเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้อง สีน้ำเงินคือ การจัดประเภทเรื่องที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับหัวข้อหลัก
2.3. Flow chart
Flow chart คือ แผนผังแสดงการดำเนินเรื่องราวของ แผนการเรียน สื่อ หรือกิจกรรมของเรา การทำ Flow chart จะทำให้เราเห็นกระบวนการทำงานของ สื่อ หรือ แผนการเรียนที่เราออกแบบชัดขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการจัดทำ Story board ต่อไป
ที่มาภาพ: https://th.bing.com/th/id/OIP.ffLc-k754ZgRR7Uroca78AHaFi?pid=Api&rs=1
2.4. Story board
Story Board คือ ขั้นต่อจาก Flow chart ที่นำเอา แผนผังการดำเนินเรื่องราวนั้น มาทำการลงรายละเอียดให้สมบูรณ์ขึ้น โดยอาจมีการออกแบบหน้าตาของแผนการเรียน สื่อ หรือกิจกรรม คร่าวๆ ว่าอยากได้ออกมาเป็นประมาณไหน มีการลงรายละเอียดเวลาว่า แต่ละขั้นต้องใช้เวลาเท่าไหร่ หลังจากทำขั้นตอนนี้เสร็จจะต้องทำอะไรต่อไป เป็นขั้นตอนการลงรายละเอียดโครงร่างของแผนการสอน สื่อ หรือกิจกรรม ก่อนนำไปพัฒนาจริง
ที่มาภาพ: teachwire.net/uploads/resource/Storyboards.png
***เมื่อออกแบบเนื้อหาเสร็จแล้วสิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืมทำคือ การนำเนื้อหาไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบว่ามีความครอบคลุม ถูกต้องหรือไม่ ในกรณีของครู อาจเป็นการขอความเห็นจากเพื่อนครูที่สอนในรายวิชาเดียวกัน เป็นต้น
3.การพัฒนา (Develop)
เป็นขั้นตอนการนำภาพร่าง หรือโครงร่างที่ทำไว้ใน Story board มาลองทำเป็นชิ้นงานจริง ๆ เมื่อออกแบบเสร็จก็ต้องไม่ลืมเอาไปให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือผู้เชี่ยวชาญช่วยดูว่า เหมาะสมหรือไม่ หากไม่เหมาะสมก็จะต้องนำมาปรับต่อ ในกรณีของครู อาจเป็นการนำตัวชิ้นงานต้นแบบไปให้เพื่อนครูลองประเมินดูว่า เหมาะสมหรือไม่ หรืออาจนำไปให้ผู้เรียนบางกลุ่มลองใช้งานดูเพื่อรับ Feedback จากนั้นนำ Feedback นั้นมาพัฒนาชื้นงานต่อให้ตอบโจทย์ผู้เรียนมากขึ้น
4.การนำไปใช้ (Implement)
ในขั้นตอนการนำไปใช้นั้น คือ การนำชิ้นงานต้นแบบที่พัฒนาปรับปรุงแล้วไปลองให้ผู้เรียนใช้งานจริง โดยขั้นตอนนี้ จะเริ่มตั้งแต่การสอนใช้งานเบื้องต้น การให้ลองใช้งานจริง ไปจนถึงตอนท้ายคือมีการประเมิน เพื่อนำข้อมูลมาพัฒนาต่อให้ตัวแผนการเรียน สื่อ หรือกิจกรรม มีประสิทธิภาพมากขึ้น
5.การประเมิน (Evaluation)
ขั้นการประเมินนั้นทำได้หลากหลายแบบทั้ง แบบ Summative และ Formative แต่หากเป็นไปได้คุณครูควรจะจัดทำทั้งสองแบบ เพราะการทำการประเมินแบบ Formative หรือการประเมินระหว่างเรียนนั้น จะทำให้เห็นพัฒนาการของตัวเด็ก เห็นว่าปัญหาของเด็กคืออะไร ข้อมูลตรงนี้จะช่วยในการปรับปรุงชิ้นงานให้ดีขึ้นได้ ในส่วนของ Summative นั้นจะทำให้เห็นผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียนว่า เป็นอย่างไร ดีขึ้น / พอใช้ / หรือแย่ลง นอกจากนี้การประเมินยังครอบคลุมไปถึงความพึงพอใจในการใช้งานด้วย โดยผลการประเมินความพึงพอใจตรงนี้จะทำให้เห็นข้อดีข้อเสีย จุดแข็งจุดอ่อนของ แผนการเรียน สื่อ หรือกิจกรรมของเรา ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมาก ในการออกแบบ บทเรียน สื่อ หรือกิจกรรม ตัวใหม่ของเราในอนาคต
.
ก็จบกันไปแล้วนะครับกับแนวทางการออกแบบ แผนการเรียนรู้ สื่อ หรือ กิจกรรม ด้วยแนวคิด ADDIE model ก็หวังว่าข้อมูลครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนครูทุกคนไม่มากก็น้อย สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาศึกษาบทความชิ้นนี้ครับ ขอบคุณครับ...
Content Creator By: Warawat Nimanong
Design Graphic By: Narudhchai Ruangyarn
.
ขอขอบคุณที่มา
แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru
เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย