icon
giftClose
profile

Grammar ที่เด็ก ๆ ค้นพบเอง

66093
ภาพประกอบไอเดีย Grammar ที่เด็ก ๆ ค้นพบเอง

เรียนไปเดี๋ยวก็ลืม ถ้าไม่ได้เป็นเจ้าของการเรียนรู้นั้น มาลองเรียนภาษาอังกฤษผ่านการตั้งคำถามกัน




“ครู หนู /ผมโง่วิชานี้” 

เด็กยอมแพ้ให้กับวิชาภาษาอังกฤษไปแล้ว


 เราสอนเด็กชั้นมัธยมต้น มันน่าเศร้าที่ปัญหาเชิงโครงสร้างระบบบางอย่าง ทำให้เด็กมีทักษะความรู้พื้นฐานต่ำกว่าเกณฑ์ ในขณะที่เขาต้องวิ่งไล่ตามหลักสูตรแกนกลางต่อไปให้ได้

เด็กเลยมักจะบอกเราว่าวิชาภาษาอังกฤษซับซ้อนเข้าใจยาก จำศัพท์ไม่ได้ และยอมแพ้ไป


 เราเลยออกแบบห้องเรียนให้เด็ก “เรียนแบบข้ามขั้น วิ่งให้ทันหลักสูตรระดับชั้นตัวเอง” คือ ไม่ต้องเน้นแปลศัพท์ทีละคำ แต่สอนให้สามารถเข้าใจหลักไวยากรณ์ ทำแบบฝึกหัดเป็น

ประโยคยาว ๆ ได้ จนเขาประหลาดใจในตัวเอง แล้วค่อย ๆ เปิดใจให้วิชานี้ในที่สุด


อย่างเมื่อเราต้องสอนหลักการเติม s, es


จับคู่

เราเริ่มจากให้กระดาษคำศัพท์เด็กคนละ 1 แผ่น 

แล้วให้เค้าหาเพื่อนซึ่งได้รับคำศัพท์ที่เป็นคู่ของเค้าให้ได้

เช่น  drink - drinks,  catch - catches

เมื่อจับคู่ได้แล้ว ลองถามเค้าว่า “สองคำนั้นเหมือนหรือต่างกันอย่างไร?”


เมื่อเค้าตอบได้ว่า ต่างที่มี s/es เพิ่มเข้ามา


ไขความลับ

เราก็ให้เขารวบรวมทั้งหมดมาแบ่งเป็นสองแบบ

แบบที่เติม s และ es แล้วลองถามต่อว่า 

“คำที่ลงท้ายด้วยตัวไหน เติม s/es ?”

เมื่อเค้าตอบว่า “คำที่ลงท้ายด้วย o, s, ch, x, z เติม es” 

ก็ถามต่อว่าคิดว่า “เพราะอะไร?”


ตัวอย่างบทสนทนาที่เกิดในห้องเรียนของเรา

“ทำไมไมต้องเติม es ด้วยนะ”

“ทำไมไม่เติม s ทุกคำไปเลย” 

“ถ้าเติม s ทุกคำ คำว่า glass ก็เป็น glasss s สามตัวเลยนะ” 


ถ้าเขาตอบไม่ได้ ก็ลองให้เค้าคิดแบบย้อนกลับ โดยเอาคำที่ลงท้ายด้วย o, s, ch, x, z ไปเติม s แทน แล้วลองอ่านดู

จนสุดท้าย นำมาสู่บทสรุปร่วมกันที่ว่า...

“คำที่ลงท้ายด้วยเสียง ช ฉ ซ ส.. อยู่แล้ว เติมเสียง ซ ส เข้าไป มันอ่านไม่ได้ จึงต้องเติม es ให้สามารถออกเสียงพยางค์ถัดไปได้” นั่นเอง 

ซึ่งตลกมากตอนที่เค้าพยายามออกเสียง watchs washs 

พอรู้ว่ามันออกเสียงไม่ได้ เด็ก ๆ ก็ขำกัน


Tip : ครูต้อง เชื่อใจ ใจเย็น ค่อย ๆ ตั้งคำถาม และรับฟังอย่างตั้งใจ รอให้เค้าพูดออกมาเองให้ได้ ในตอนนั้นเค้าจึงจะรู้สึกว่ามันเป็นคำตอบที่เค้าหามาได้ด้วยตัวเอง 


ผลที่เกิดขึ้นกับนักเรียน

นักเรียนสะท้อนว่า เขารู้สึกสนุกที่ได้ลองคิดเอง เริ่มเข้าใจวิชาขึ้นมาจริง ๆ วิชานี้ไม่ยากเกินความสามารถของเขา และเขาไม่จำเป็นต้องจำทฤษฎีหลาย ๆ ข้อ ลดความสับสนในการใช้งาน


ก่อนจะมาเป็นคาบนี้ (ก่อนจะเป็น Teacher)

ตอนเราออกแบบการสอน เราตั้งคำถามย้อนกลับ เพื่อไขรหัสลับทฤษฎีก่อน

แม้แต่เราเองที่เคยเรียนเรื่อง s/es มา ก็เรียนแบบท่องจำมา

เราก็เลยมาตั้งคำถามกับตัวเองเพื่อตอบให้ได้ว่า

“เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น ?”

เวลาเด็กสงสัย เค้าจะถามไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้คำตอบที่เป็น

“รากของสาเหตุ (root cause)” 

เช่น

“กบเอยทำไมจึงร้อง จำเป็นต้องร้องเพราะว่า ท้องมันปวด

ท้องเอยทำไมจึงปวด จำเป็นต้องปวดเพราะว่า ข้าวมันดิบ

ข้าวเอยทำไมจึงดิบ จำเป็นต้องดิบเพราะว่า ฟืนมันเปียก

ฟืนเอยทำไมจึงเปียก จำเป็นต้องเปียกเพราะว่า ฝนมันตก

ฝนเอยทำไมจึงตก จำเป็นต้องตกเพราะ กบมันร้อง”


ถ้าเราตอบด้วยประโยคเหล่านี้ สุดท้ายมันก็ไม่ต่างจากการตอบเด็กในทุกประเด็นว่า

“ก็เค้าทำกันมาแบบนี้ / ก็เขาบอกกันมาแบบนี้”


ทั้งที่จริงแล้ว กบมันร้องช่วงก่อนฝนตก เพราะ กบสัมผัสได้ถึงความชื้นในอากาศที่มีสูงกว่าปกติ ซึ่งเป็นช่วงเวลาดี ที่เหมาะสำหรับการออกหาอาหาร นอกจากนี้กบยังส่งเสียงร้องเพื่อบ่งบอกความเป็นพวกพ้อง และเพื่อเรียกร้องความสนใจจากตัวเมียเมื่อต้องการผสมพันธุ์


ดังนั้น ตัวครูเองก็ควรตั้งคำถามกับตัวเองก่อน เพื่อจะได้หา root cause ของทฤษฎีให้ได้

ก่อนที่จะออกแบบการจัดการเรียนการสอนให้กับเด็ก ๆ ต่อไป


ระหว่างคาบ (From Teacher to Facilitator)

“สร้างบรรยากาศให้นักเรียนรู้สึกเป็นเจ้าของการเรียนรู้” (Building ownership)

ให้นักเรียนรู้สึกกล้าลองผิดลองถูก กล้าถามตอบ ควบคู่กับกิจกรรม/แบบฝึกหัดที่เอื้ออำนวยต่อการคิดวิเคราะห์ของเด็ก ให้เด็กดู/อ่านแล้วสามารถเชื่อมโยง 

จนสรุปความคิดนั้น ๆ ออกมาได้ด้วยตนเอง


เราเชื่อว่า...

“การตั้งคำถาม คือประตูสู่การเรียนรู้ ถ้าไม่ชวนเด็กตั้งคำถาม เด็กก็ไม่อยากรู้ เมื่อไม่อยากรู้ก็ไม่อยากเรียน

กลับกัน ถ้าเรากระตุ้นให้เด็กเกิดคำถาม เขาก็จะเริ่มอยากรู้คำตอบ ยิ่งถ้าเราทำให้เขาตอบคำถามนั้นได้ เขาก็จะตกหลุมรักการเรียนรู้นั้น”

รีวิว
(0)
ดาวน์โหลด
(24)
เก็บไว้อ่าน
(17)