ยุคที่ 1 : ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์
รูปแบบการคอร์รัปชันในยุคนี้เรียกว่าการ ฉ้อราษฎร์บังหลวง และการเรียกรับสินบน
ในสมัยยุคก่อนรัชกาลที่ 5 สยามใช้การปกครองแบบระบบ “กินเมือง”
โดยกษัตริย์จะส่งขุนนางไปปกครองหัวเมืองต่างๆ ซึ่งขุนนางจะไม่ได้เงินเดือนจากเมืองหลวง
แต่ได้สิทธิในการเก็บภาษีจากราษฎรในพื้นที่ที่ตนเองปกครองแทน
โดยอัตราภาษีจะต้องเป็นไปตามที่กษัตริย์กำหนด
ดังนั้นจึงมีช่องว่างให้เกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวง
โดยขุนนางสามารถเรียกเก็บภาษีจากราษฎรได้มากเกินกว่าที่หลวงกำหนดไว้ได้
อีกทั้งยังเบียดบังเงินภาษีโดยส่งภาษี กลับไปให้หลวงไม่ครบจำนวนอีกด้วย
-----------------------------
แต่ต่อมาในสมัยของรัชกาลที่ 5
ขุนนางถูกลดอำนาจลงจากการดึงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง
โดยมีการจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล
และมีการพระราชทานเงินเดือนให้แก่ข้าราชการหัวเมือง
ส่งผลให้การเก็บภาษีจะเก็บเข้าสู่พระคลังโดยตรงไม่ต้องผ่านขุนนางเหมือนในอดีต
จากสถานการณ์ดังกล่าวจึงส่งผลให้ขุนนางคิดหาวิธีในการคอร์รัปชันในรูปแบบใหม่
โดยเปลี่ยนจากการเบียดบังภาษีจากราษฎรโดยตรง
มาเป็นการเรียกรับสินบนเพื่อเป็นค่าตอบแทนจากการดูแลสารทุกข์สุขดิบของราษฎรแทน
ประเด็นชวนตั้งข้อสังเกต*
ตั้งแต่สมัยก่อนรัชกาลที่ 5 มาจนถึงสมัยการปกครองของรัชกาลที่ 5
รูปแบบการคอร์รัปชันมีวิวัฒนาการจากการเก็บภาษีเกินมาเป็นการเรียกรับสินบน
ซึ่งนอกจากจะมีสาเหตุมาจากการจัดการปกครองโดยดึงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางแล้ว
แต่การรับรู้การคอร์รัปชันทั้งสองรูปแบบกลับแตกต่างกัน
โดยจากการศึกษาพบว่าบทกฎหมายและบทลงโทษที่เกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชัน
เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รูปแบบการคอร์รัปชันมีวิวัฒนาการจากฉ้อราษฎร์บังหลวง
มาเป็นการเรียกรับสินบนนั้น ก็เนื่องมาจากในกฎหมายตรา 3 ดวง ได้มีการกำหนดเอาไว้ว่า
การฉ้อราษฎร์บังหลวงนับเป็นความผิดที่ร้ายแรง
เพราะเกิดจากการกระทำที่เกี่ยวข้องกับของหลวง (ภาษีเป็นของหลวง)
จึงมีบทลงโทษที่ชัดเจนคือ “ฟันคอริบเรือน ริบราชบาทว์ เอาลูกเมียข้าคนเป็นราชบาทว์
และยึดทรัพย์สินสิ่งของเข้าพระคลัง”
ในขณะที่การรับสินบนนั้น กลับไม่ได้มีบทลงโทษปรากฏชัดเจน
สาเหตุหนึ่งอาจมาจากค่านิยมและความเข้าใจของคนทั่วไปในยุคสมัยนั้น
ว่าการเรียกรับสินบนเปรียบเสมือนการตอบแทนสินน้ำใจจากการได้รับความคุ้มครองหรือความช่วยเหลือ
ซึ่งราษฎรอาจจ่ายให้ขุนนางด้วยความเต็มใจก็ได้
หรือนี่อาจจะเป็นวัฒนธรรมที่เอื้อให้คอร์รัปชันในรูปแบบสินบน
ยังคงมีอยู่ในสังคมไทยและที่ส่งต่อ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบันหรือเปล่า ?
ยุคที่ 2 : ยุคหลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475
ในยุคนี้เป็นยุคที่ทหารและกองทัพมีอิทธิพลอย่างสูงในการเมืองของประเทศไทย
โดยเข้ามาในรูปแบบของ “ผู้รักษาสันติภาพ” และใช้การปกครองแบบเผด็จการ
โดยเริ่มตั้งแต่ในยุครัฐบาลของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม จนถึงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
ซึ่งอยู่ในช่วงของการสร้างชาติไทย ทำให้มีการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจแบบชาตินิยมขึ้น
โดยรูปแบบการคอร์รัปชันจึงเป็นการประพฤติผิดของเจ้าหน้าที่รัฐต่อผู้ประกอบการธุรกิจที่ไม่ใช่คนไทย
ได้แก่ การข่มขู่และปล้นโดยตำรวจ การเพิกถอนสัญญาเช่าหรือการกระทำที่ไม่เป็นธรรม
การยึดเงินทุนและทรัพย์สินภายใต้ข้ออ้างจากนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์
ทำให้เจ้าของธุรกิจต่างชาติต้องติดสินบนเจ้าหน้าที่เพื่อขอการคุ้มครอง
และการสนับสนุนจากนายทหารชั้นสูง ข้าราชการและนักการเมืองที่มีอิทธิพล
---------------------------------------------
ต่อมาในรัฐบาลทหารใหม่ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (ในปี พ.ศ. 2500)
ยุคนี้มีการสร้างความสัมพันธ์กับนักธุรกิจไทย ชาวจีน และชาวต่างชาติอื่นๆ
โดยความสัมพันธ์ของนักธุรกิจต่างชาติกับชนชั้นปกครองนั้นเป็นความสัมพันธ์ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ผลประโยชน์ตอบแทนกัน
กล่าวคือรัฐบาลและข้าราชการให้ความคุ้มครองและการสนับสนุนนักธุรกิจชาวต่างชาติ
ในทางกลับกันนักธุรกิจต่างชาติก็มีการแทนการสนับสนุนของชนชั้นปกครองด้วย เนื่องจากการให้ความคุ้มครอง
จนกลุ่มผู้ประกอบการเหล่านี้ประสบความสำเร็จในการสร้างความสัมพันธ์กับชนชั้นปกครอง
อันส่งผลให้พวกเขาเข้าสู่สถานะของกลุ่มอำนาจทางเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถเอื้อประโยชน์อย่างสูงต่อธุรกิจ
ส่วนนักธุรกิจในท้องถิ่นต่างจังหวัดเองก็มีการสร้างความสัมพันธ์กับนักการเมืองในพื้นที่
ในลักษณะระบบอุปถัมภ์เช่นกัน ส่งผลให้รูปแบบคอร์รัปชันในสมัยนี้เป็นลักษณะการเอื้อประโยชน์
ในการประกอบธุรกิจให้กับนายทุนและนักธุรกิจผ่านกฎหมายและนโยบายการอนุมัติโครงการต่างๆของรัฐ
โดยเฉพาะการจัดสรรการทำสัญญาในโครงการ โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และการให้สัมปทานโครงการของรัฐบาล
ต่อบริษัทที่จัดตั้งโดยนายทหารชั้นสูงหรือพวกพ้องของตน เช่น การผูกขาดทางธุรกิจ
และออกพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนในปี พ.ศ. 2503
เพื่อให้มีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น
และใช้เป็นช่องทางในการสนับสนุนอุตสาหกรรมของธุรกิจในเครือข่าย เป็นต้น
------------------------------------------
นอกจากนี้ยังมีการเกินขึ้นของรัฐวิสาหกิจที่นักรัฐประหารเข้ามามีบทบาท
โดยการแต่งตั้งนายทหารจำนวนมากให้เข้าไปมีรายชื่ออยู่ในคณะกรรมการบริหารในรัฐวิสาหกิจเหล่านั้น
เพื่อดำเนินกิจกรรมเชิงพาณิชย์และการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบผ่านงบประมาณรายจ่ายของรัฐ
ส่งผลให้นายทหารชั้นสูงสามารถสะสมความมั่งคั่งจากรัฐวิสาหกิจและงบประมาณการใช้จ่ายของภาครัฐได้มหาศาล
ซึ่งผลที่ตามมาจากการที่ทหารเข้าไปมีบทบาทในการก่อตั้งรัฐวิสาหกิจ
และร่วมธุรกิจกับภาคเอกชนเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้องตนเอง
และผลประโยชน์ทับซ้อนจากการสะสมความมั่งคั่งเหล่านี้
โดยเฉพาะเรื่องการเอื้อผลประโยชน์ ระหว่างทหารกับภาครัฐและนักธุรกิจ
ซึ่งเราสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก Internet จะพบว่าทุกครั้งที่มีการปฏิวัติ
ก็มักจะมีรายชื่อของทหารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับรัฐวิสาหกิจเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบประธานบอร์ดบริหารรัฐวิสาหกิจต่างๆ
หรือแม้แต่การแต่งตั้งนายทหารจำนวนมากให้อยู่ในคณะกรรมการบริหารของตนเองอีกด้วย
สรุปความเชื่อมโยงการคอร์รัป ชันในยุคหลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475
ในยุคหลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 พบว่ามีความคล้ายคลึง
กับระบบศักดินาหรือเจ้าขุนมูลนายในยุคการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หลายประการ
แต่การคอร์รับชันในยุคนี้ได้มีการพัฒนามาเป็นระบบพวกพ้องที่ใหญ่ขึ้นในระดับประเทศ
จนเกิดเป็นโครงสร้างระบบอุปถัมภ์ระหว่างชนชั้นกลางและชนชั้นสูง
ที่เอื้อประโยชน์ระหว่างกันเพื่อแสวงหาความมั่งคั่ง
จากการเข้ามามีบทบาททางการเมืองและตำแหน่งทางราชการจนกลายเป็นต้นตอของปัญหา
ที่ประชาชนอย่างเราไม่สามารถตรวจสอบการคอร์รัปชันของเจ้าหน้าที่รัฐและทหารได้นั่นเอง
นอกจากนี้ในช่วงปี พ.ศ. 2503 ภายใต้บริบทของการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างก้าวกระโดด
และการเติบโตของเมือง ที่นับเป็นจุดเปลี่ยนที่แท้จริงในการบูรณาการธุรกิจและการเมืองเข้าด้วยกัน
โดยในยุคนั้นพบว่ามีกลุ่มธุรกิจหลักสองกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนักธุรกิจสมัยใหม่ในเมือง
และกลุ่มนักธุรกิจใหม่ในต่างจังหวัด ซึ่งสุดท้ายก็กลายมาเป็นผู้เล่นกลุ่มใหม่ในการเมืองไทยในเวลาต่อมา
----------------------
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เนื่องมาจากกลุ่มผู้ประกอบการเหล่านี้
ประสบความสำเร็จในการสร้างความสัมพันธ์กับชนชั้นปกครอง
อันส่งผลให้พวกเขาเข้าสู่สถานะของกลุ่มอำนาจทางเศรษฐกิจ
ซึ่งสามารถเอื้อประโยชน์อย่างสูงต่อธุรกิจ
ดังนั้นรูปแบบการคอร์รัปชันจึงมาในรูปแบบของนักธุรกิจ-การเมือง
โดยเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบของนักการเมืองที่เข้าไปควบคุมกลไกของรัฐโดยตรง
เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินโครงการอย่างเป็นระบบผ่านการสนับสนุนด้านนโยบาย
ทรัพยากรและเงินทุนในการลงทุนของพวกพ้อง
อีกทั้งพรรคการเมืองในสมัยนั้นยังไม่เข้มแข็งและต้องการการสนับสนุนทางการเงินเพื่อใช้ในการเลือกตั้ง
จึงเป็นโอกาสของกลุ่มธุรกิจในการสร้างความสัมพันธ์กับพรรคการเมืองได้โดยตรง
และนำไปสู่การเอื้อประโยชน์ผ่านการเลือกตั้งระบบรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น
รูปแบบดังกล่าวจะปรากฏชัดเจนขึ้นในระยะต่อมา
จะเห็นได้ว่าการพัฒนาการของคอร์รัปชันได้เกี่ยวโยงกับเอกชนมากขึ้น
ซึ่งทำให้การคอร์รัปชันกระทบกับคนในวงกว้างและชัดเจนมากขึ้นนั่นเอง
ยุคที่ 3 : ยุคของ “การเมืองเปิด” (พ.ศ. 2518 - พ.ศ. 2557)
สาเหตุของการคอร์รัปชันในยุคนี้
ก็เนื่องมาจากยุคนี้ที่นักการเมืองต้องพึ่งพาเงินทุนจากกลุ่มธุรกิจ
และนักการเมืองท้องถิ่นซึ่งมีอิทธิพลในพื้นที่ของตน
เนื่องจากการแข่งขันทางการเมืองโดยระบบหัวคะแนน
นำไปสู่รูปแบบการคอร์รัปชันในช่วงเวลาดังกล่าว
คือ การซื้อเสียงจากประชาชนในขณะรณรงค์หาเสียงของนักการเมือง
พรรคการเมืองจึงจำเป็นที่จะต้องมีการพึ่งพาเงินทุนจากนักธุรกิจจำนวนมาก
เพื่อให้ได้รับการเลือกตั้งและเข้าไปเป็นพรรคฝ่ายรัฐบาลในสภา
ซึ่งในขณะเดียวกันกลุ่มธุรกิจก็มีอิทธิพลต่อการต่อรองกับพรรคการเมืองด้วยเช่นกัน
จนถึงช่วงเวลาหนึ่งที่การเมืองของประเทศไทยต้องการใช้เงินสนับสนุนมากยิ่งขึ้น
ทำให้การคอร์รัปชันกลายเป็นวิธีที่ส่งเสริมให้เกิดการหาเงินเพิ่ม
รูปแบบการคอร์รัปชันเกิดขึ้นในเชิงนโยบายโดยผ่านการดำเนินโครงการต่าง ๆ
เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้องด้วยการผูกขาดการประมูลกับรัฐบาล
และมีการแทรกแซงองค์กรกำกับดูแลและองค์กรตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล
ซึ่งมาจากการผูกขาดทางการเมืองและการตลาด
รวมถึงการให้อำนาจดุลยพินิจแก่เจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมือง
เช่น การเรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นผ่านการอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินกู้
การอนุมัติใบอนุญาต การให้สัมปทาน ผลประโยชน์จากการร่วมทุนกับบริษัทต่างประเทศ
และผลประโยชน์ที่เกิดจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่
การออกนโยบายภาษีและการคลังที่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของพวกพ้อง
จนมีคำกล่าวโจมตีว่าเป็นคณะรัฐมนตรี “บุฟเฟ่ต์ คาบิเนต” หรือ “ระบอบธนาธิปไตย”
ไปจนถึงการคอร์รัปชันผ่านการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจภาย
ใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 6
ซึ่งเน้นความสำคัญของการมีส่วนร่วมทุนของภาคเอกชนในรัฐวิสาหกิจ
เช่น นโยบายเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการลงทุนร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน
การเพิ่มการลงทุนภาคเอกชน และการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
รวมถึงรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเชีย หรือกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (NIC)
ส่งผลให้เกิดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
ซึ่งถูกมองโครงการเหล่านี้เปิดโอกาสให้นายทุนขนาดใหญ่กักตวงผลประโยชน์ด้วยเช่นกัน
สรุปภาพรวมการคอร์รัปชันตั้งแต่ยุคการเมืองเปิด
จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้กล่าวมาข้างต้นในยุคของ “การเมืองเปิด”
สามารถตอบคำถามที่เราเคยสงสัยมานานได้อย่างชัดเจนว่าทำไมการเมืองจึงคู่กับการคอร์รัปชัน ?
และที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนำอย่างนักการเมืองกับนักธุรกิจ
ที่เงินมีความจำเป็นสำหรับผู้นำกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อคงไว้ซึ่งอิทธิพลและอำนาจ
และเมื่อมีการแข่งขันทางการเมืองสูงขึ้น รายได้จากธุรกิจส่วนตัวของนักการเมือง
และการสนับสนุนจากนักการเงินก็ไม่เพียงพออีกต่อไป
ทำให้การคอร์รัปชันกลายเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในหาเงินเพิ่ม
โดยวิธีการคอร์รัปชันกิดขึ้นในยุคนี้ ได้แก่ การเรียกรับเงินใต้โต๊ะ
เพื่อการจัดสรรข้อตกลงและสัญญาสาธารณะสำหรับบริษัทเอกชน
การทำสัญญาของรัฐบาลให้กับบริษัทของตนเอง
และการยักยอกเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ เป็นต้น
ยุคที่ 4 : ยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จนถึงรัฐบาลในยุคปัจจุบัน
แม้จะมีการรัฐประหารหลายครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม หลังการทำรัฐประหารการคอร์รัปชันก็ไม่ได้สิ้นสุดลง
โดยจากผลการสำรวจดัชนีการรับรู้คอร์รัปชัน (Corruption Perception Index) ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2560
ที่ระบุว่า คนไทยมีความเห็นว่าความรุนแรงของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในยุครัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 37 สูงสุดในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558
โดยรูปแบบการทุจริตคอร์รัปชันในยุคนี้ อยู่ในรูปแบบของกฎหมาย
ที่เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้ดุลยพินิจของตนเองได้อย่างอิสระ
ขาดความโปร่งใสของกระบวนการตรวจสอบทางการเมือง
ไปจนถึงการบังคับใช้กฎหมายและกฎระเบียบที่คณะของตนสร้างขึ้น
มาเป็นเครื่องมือในการคอร์รัปชัน เช่น การปิดกั้นการตรวจสอบอำนาจรัฐขององค์กรอิสระและภาคประชาชน
นอกจากนี้ในช่วงเวลาดังกล่าว ยังได้มีการอนุมัติงบประมาณด้านการทหารที่สูงขึ้น
มีการแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญทางเศรษฐกิจและการเมืองให้กับทหารชั้นสูง
เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มธุรกิจของพวกพ้อง ยกตัวอย่างกรณี คสช. ออกคำสั่งที่ 75/2557
ตั้งคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (คนร.) หรือ "ซุปเปอร์บอร์ด"
ส่งผลให้มีจำนวนทหารที่นั่งเป็นประธานในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้น 5 เท่า
และมีจำนวนทหารและอดีตทหารเข้าเป็นกรรมการในบอร์ดของรัฐวิสาหกิจ จำนวน 40 แห่ง เป็นต้น
ดังนั้นจึงเป็นที่น่าตั้งข้อสังเกตว่ารูปแบบการคอร์รัปชันในยุคนี้
มีลักษณะคล้ายคลึงกับยุคเผด็จการทหารในอดีตหรือไม่ ?
สรุปภาพรวมวิวัฒนาการคอร์รัปชัน
(A Little of Corruption)
การศึกษาประวัติศาสตร์จะช่วยให้เราเข้าใจว่า แท้จริงแล้วสาเหตุของปัญหาการคอร์รัปชันนั้นเกิดมากจากอะไร
แม้ว่าในปัจจุบันการคอร์รัปชันในสังคมไทยจะมีรูปแบบที่ซับซ้อนและแยบยลขึ้นกว่าในอดีตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
และมีผู้เล่นหน้าใหม่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย โดยในปัจจุบันรูปแบบการคอร์รัปชันเริ่มมีการกระจายตัวออกอย่างกว้างขวางในทุกภาคส่วน
ทั้งที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานราชการ ฝ่ายการเมือง การทหาร บริษัทเอกชน องค์กรไม่แสวงหากำไร วัด และสถาบันการศึกษา
ซึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างระบบอุปถัมป์ที่ฝังอยู่ในสังคมและการเมืองของประเทศไทยมาตั้งแต่อดีต
อย่างไรก็ตามในยุคสมัยที่เกิดการคอร์รัปชันที่รุนแรงก็จะมีการเคลื่อนไหวทางสังคม
โดยภาคประชาชนในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันเสมอ
ซึ่งนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงและสถานการณ์ที่ดีขึ้น
เพราะในช่วงเวลาที่ผ่านมาประชาชนเริ่มมีความเข้าใจและทัศนคติที่ดีขึ้นต่อการ “โกง” “การทุจจริต”
หรือ “การคอร์รัปชัน” ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดี และส่งผลกระทบร้ายต่อสังคมและตนเอง
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้การต่อต้านคอรรัปชันยังไม่อาจพัฒนาหรือเท่าทันการคอร์รัปชันได้
เพราะหลายครั้งเราติดกับชุดความคิดเดิมที่เชื่อว่าการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ทำให้ภาคประชาชนที่ตื่นตัวและลงมือร่วมต่อต้านการคอร์รัปชันอย่างจริงจังยังมีไม่มากเพียงพอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการคอร์รัปชันในปัจจุบันมีการพัฒนาไปมากจนซับซ้อนมากขึ้นกว่าเพียงการจ่ายสินบน
แต่กลายเป็นการคอร์รัปชันผ่านการดำเนินนโยบายและโครงการเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ตามที่ได้อธิบายในข้างต้น
ดังนั้นความท้าทายของงานต่อต้านคอร์รัปชันในปัจจุบัน
จึงยังคงเป็นคำถามที่น่าชวนคิดต่อไปว่า เราในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของสังคม
จะสามารถว่าจะหยุดดักความคิดที่ว่า คอร์รัปชันแก้ไขไม่ได้ นี้ได้อย่างไร ?
หรือเราทุกคนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการปลูกฝังความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการต่อต้านคอร์รัปชัน
ให้กับเด็ก เยาวชน และคนทั่วไปได้อย่างไร ?
ไฟล์ที่เกี่ยวกับไอเดีย
ไฟล์ที่ 1 จากทั้งหมด 1