จะเกิดอะไรขึ้น หากทุกคนเลือกที่จะเชื่อ โดยไม่พยายามหาเหตุผล จะเป็นอย่างไรถ้านักเรียนที่เราสอนนั้นโตมากับความเข้าใจผิดๆ เพียงเพราะฟังผู้อื่นอย่างเดียวโดยไม่ได้คิดตาม จะดีกว่าไหม หากเรานำคำพูดเหล่านั้น ที่เคยเป็นเพียง "ความเชื่อ" มาพิสูจน์ให้มันเป็น "ความจริง" ให้นักเรียนร่วมกันคิดวิเคราะห์ถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของคำพูดนั้น ทั้งนัยยะที่แอบแฝงของคำพูดต่างๆหรือเหตุผลที่อธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ เพื่อที่อนาคต นักเรียนของเราจะสามารถ คิด วิเคราะห์ พิจารณา ประเมินและตัดสินข้อมูลที่ได้รับอย่างเป็นเหตุเป็นผล
มีการสำรวจมาแล้วว่า Analytical Skills และ Critical Thinking เป็นทักษะที่สำคัญมากในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูลมากมายถูกลำเลียงมาสู่สายตาเราอย่างง่ายดาย แล้วเราจะช่วยสนับสนุนให้นักเรียนของเรามีทักษะนี้ได้อย่างไรกันนะ?
ในกิจกรรมนี้คือ การตั้งคำถามกับคำพูดหรือความเชื่อต่างๆ ว่าสิ่งนั้นมีความจริงมากแค่ไหน มีเหตุมีผลอย่างไรบ้าง อะไรทำให้พวกเขาพูดแบบนั้นออกมา
"ห้ามนอนกิน ชาติหน้าจะเกิดเป็นงู" "อย่านั่งทับหมอนเดี๋ยวจะเป็นฝีที่ตูด" "ทำผิดจะต้องลงนรก" คำพูดเหล่านี้ ล้วนไม่ใช่สิ่งที่ไร้สาระทั้งหมด ทุกประโยคล้วนมีเจตนาที่ดีแฝงอยู่ เพียงแต่ถูกสื่อสารให้ผู้รับสารกลัว เด็กๆจะได้ไม่ทำ ซึ่งอาจเปลี่ยนวิธีการสื่อสารเป็นวิธีคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลมากกว่า ว่าทำไมถึงควรทำหรือไม่ควรทำ ถูกหรือผิดอย่างไร สิ่งไหนเป็นเพียงความเชื่อ
หรือแม้กระทั่งมีหลายคำพูดและหลายความเชื่อ ที่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ เช่น "อย่าตากฝนเดี๋ยวจะเป็นหวัด ตัวเปียกให้รีบไปอาบน้ำ" "วัวกระทิงต้องวิ่งชนผ้าสีแดง" ซึ่งหลายครั้งที่เราเชื่อโดยที่ไม่เข้าใจเหตุผลหรือหลักการจริงๆของมัน ว่ามันเป็นจริงมากน้อยเพียงใด
สำหรับเรา เรามองว่า การหลอกเด็กแบบนี้ อาจเป็นผลดีในระยะสั้น คือทำให้เด็กกลัวและเชื่อฟังในระยะหนึ่ง แต่อาจเกิดเป็นปัญหาในระยะยาว ทั้งทำให้เด็กไม่เข้าใจเหตุผล ถูกสอนให้เชื่อผู้ใหญ่โดยไม่สามารถถกเถียง ไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้คิด ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยให้เขาได้แสดงออก หรือเมื่อโตมาแล้ว เริ่มรู้ความจริง ยิ่งทำให้เด็กเกิดความรู้สึกแย่จากการถูกหลอกด้วยความเชื่อผิดๆได้
วิธีการจัดกิจกรรม
จะเห็นว่าในเกือบทุกขั้นตอนของกิจกรรมจะเป็น Active Learning ซึ่งเน้นให้นักเรียนตั้งคำถามและสะท้อนความคิดของตัวเอง ได้คิด ได้วิเคราะห์โดยมีคุณครูเป็นเพียงผู้ให้ความสะดวกในพื้นที่อิสระทางความคิดในห้องเรียน คอยกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ ให้คำแนะนำ และจัดการให้ห้องเรียนเป็นไปตามเป้าหมายที่เราวางแผนไว้ โดยไม่ต้องเน้นไปที่การสอนให้นักเรียนจดจำเพียงอย่างเดียว
ตัวอย่างที่ 1 : "อย่าตากฝนเดี๋ยวจะเป็นหวัด ตัวเปียกให้รีบไปอาบน้ำ"
ประโยคนี้ มองผิวเผินดูจะเป็นความจริงทั้งหมด แต่หากวิเคราะห์ไปมากกว่านั้น ลำพังเพียงน้ำฝน ไม่สามารถทำให้เราเป็นหวัดได้ แต่น้ำฝนและลม อาจพัดพาไวรัสมาเข้าสู่ร่างกายเราเมื่อเราอยู่ในที่โล่งแจ้ง อีกทั้งเวลาที่เราตากฝน หัวเปียก ตัวเปียก เสื้อผ้าเปียก อุณหภูมิในตัวเราจะลดลง ซึ่งเป็นสภาวะที่ทำให้ไวรัสบางสายพันธุ์เจริญเติบโตได้ดีขึ้น ร่างกายมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น ลดภูมิคุ้มกันในร่างกาย หรือกระตุ้นอาการแพ้อากาศ เป็นต้น
ตัวอย่างที่ 2 : "ห้ามนอนกิน ชาติหน้าจะเกิดเป็นงู"
ทำไมนอนกินแล้วต้องเกิดเป็นงู แท้จริงแล้วเป็นเพียงกุศโลบายเพื่อไม่ให้เด็กนอนกิน คือต้องการลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากอาหารที่ติดคอ จนเกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายตามมา แล้วทำไมต้องงู ก็คงเป็นเพราะความคล้ายกันระหว่างอิริยาบถของคนในท่านอนและลักษณะของงู เป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือของคำพูดเข้าไป รวมถึงใส่ความกลัวที่ต้องเกิดเป็นงู ซึ่งเป็นสัตว์ที่หลายๆคนกลัว และเราคงไม่อยากเกิดมาเป็นงู
ตัวอย่างที่ 3 : "กินข้าวห้ามเคาะจาน เป็นการเรียกสัมภเวสีให้มากินด้วย"
เราจะยังไม่เข้าไปถกประเด็นในเรื่องว่า สัมภเวสีมีจริงหรือไม่ แต่ทำไมเราถึงไม่ควรเคาะจานระหว่างกินข้าวกันนะ คำตอบคงเป็นเรื่องของ มารยาทบนโต๊ะอาหาร ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ไม่ควรเคาะจานจนส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น
ตัวอย่างที่ 4 : "วัวกระทิงต้องวิ่งชนผ้าสีแดง"
ในทีวีเรามักจะเห็นวัวกระทิงวิ่งไล่ขวิดผ้าสีแดงจนเชื่อไปเองว่า วัวกระทิงเกลียดสีแดง แต่อันที่จริงแล้ว วัวกระทิงนั้นเห็นภาพเป็นเพียงขาว-ดำ แล้วเหตุผลที่มันวิ่งเข้าใส่อาจเป็นเพียงเพราะ การเคลื่อนไหวของผ้าที่ทำให้วัวรู้สึกหงุดหงิดและรำคาญ ส่วนสีแดงเป็นการสร้างจุดเด่นและสีสันให้ผู้ชมมากกว่า
ตัวอย่างที่ 5 : "ร้องเพลงขณะทำกับข้าวจะได้แฟนแก่"
ในประโยคนี้ ต้องวิเคราะห์ว่า ทำไมถึงไม่อยากให้เด็กร้องเพลงขณะทำกับข้าว ซึ่งอาจเป็นเพราะระหว่างร้องเพลงอาจมีน้ำลายปะปนลงไปกับอาหารที่เราทำ เกิดความสกปรก หรือการร้องเพลงอาจทำให้บางคนเสียสมาธิ จนเกิดอุบัติเหตุตามมาได้ ส่วนการได้แฟนแก่เป็นเพียงการขู่ให้เรากลัวและไม่ทำเท่านั้น
ตัวอย่างอื่นๆ :
(ในวงเล็บเป็นเพียงไกด์คร่าวๆ ไม่จำเป็นต้องใช้เพียงเหตุผลนี้เท่านั้น ยังสามารถวิเคราะห์ได้อีกหลายมุมมอง)
หวังว่ากิจกรรมนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ห้องเรียนของคุณครูทุกคนช่วยสนับสนุนให้นักเรียนไทยมีทักษะการเรียนรู้ที่ดี รู้จักตั้งคำถามต่อสิ่งต่างๆ รู้จักคิดวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล เข้าใจความถูกผิด รวมถึงต่อยอดไปสู่การวิเคราะห์ปัญหาในชีวิตประจำวันได้ต่อไปนะครับ