ในปัจจุบันที่เด็ก ๆ ต่างเริ่มตั้งคำถามกับการเรียนวิชาพุทธศานาว่ามันสอดคล้องและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร
พระอาจารย์ชาย พระอาจารย์ที่ทำให้เรื่องไตรสิกขา เข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของนักเรียนได้อย่างเข้าใจง่าย
พระอาจารย์ได้จัดกิจกรรมง่าย ๆ โดยแบ่งนักเรียนออกเป็นสองทีม คือทีม A และทีม B
ภารกิจคือถือแก้วน้ำที่มีน้ำเต็มแก้วเดินสลับกันไปมา ทีละคน
ตัวแทนทีม A ถือไปหาทีม B ตัวแทนทีม B ถือกลับไปหาทีม A จนครบทุกคน
โดยเดินอย่างไรไม่ให้น้ำหก
จบกิจกรรม มีทั้งคนทำน้ำหกและทำน้ำไม่หก
“ใครที่น้ำไม่หก มีเทคนิคอะไรบ้าง” พระอาจารย์ถามนักเรียน
คำตอบของนักเรียนคือ เพราะมีสติ มีสมาธิ
เข้าล็อกเราเลย เพราะเราจะสอนเรื่องสมาธิ
“แล้วคนที่ทำน้ำหกล่ะ เป็นเพราะอะไร”
คำตอบก็มีทั้ง จิตไม่นิ่งบ้าง ไม่มีสมาธิบ้าง ประหม่าบ้าง
ก็เข้าล็อกพระอาจารย์เช่นเคย
พระอาจารย์ได้สรุปกิจกรรมว่า กิจกรรมที่เราถือน้ำเกี่ยวข้องกับเรื่องไตรสิกขาอย่างไรบ้าง
ศีล คือการควบคุมร่างกายของเราในขณะเดิน
สมาธิ ขณะเดิน เราต้องมีสมาธิจดจ่ออยู่กับมือที่ถือแก้ว อยู่กับการเดินอย่างระมัดระวัง
ปัญญา คือการที่เราคิดว่าจะทำยังไงไม่ให้น้ำหก ต้องถือด้วยท่าไหน เดินยังไง
“แล้วนักเรียนคิดว่ามีกิจกรรมในชีวิตประจำวันอะไรอีกบ้างที่เราต้องใช้ไตรสิกขา”
“กินข้าวครับ”
“นั่งรถมาโรงเรียน”
ใช่แล้ว ทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวันต้องใช้ไตรสิกขาทั้งนั้นเลย
โดยทั้งหมดนี้เป็นคอนเซ็ปต์ในการดำเนินชีวิตประจำวันของทุกคน ไม่ใช่เรื่องเข้าใจยาก แค่เราหยิบมุมนำเสนอให้มันเข้าไปอยู่ในชีวิตประขำวันของนักเรียน แค่นี้ก็เป็นเรื่องที่จับต้องได้ และเข้าใจง่ายแล้ว
สำหรับข้อสรุปของกิจกรรมนี้คือ สิ่งสำคัญไม่ใช่เด็กเดินแล้วน้ำไม่หก แต่สิ่งสำคัญคือ “เด็กได้เรียนรู้อะไรจากกิจกรรมนี้มากกว่า”
ช่วงชั้นที่เหมาะสำหรับกิจกรรม เหมาะกับทุกช่วงชั้น ถ้าเป็นนักเรียนชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลายเราสามารถสรุปเข้าสู่เรื่อง “ไตรสิกขา” ได้เลย แต่ถ้าเป็นชั้นประถมเราอาจสอนให้เขารู้จักสมาธิในการทำงานก็น่าจะเพียงพอ เพราะเด็กในวัยประถมอาจจะยังไม่เข้าใจเรื่องศีลกับปัญญามากนัก ผู้สอนอาจสอนให้รู้จักแค่การมีสมาธิในการทำงานก็เพียงพอแล้ว