“เด็กไม่ได้ดื้อ เขาแค่มีทางของเขา
เราต้องเปิดกว้าง และลองให้เขาได้เลือกเดินทาง ให้ได้ลองลงมือทำดู”
ห้อง Maker Space กับการเรียนที่สนับสนุนให้เด็ก ๆ เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาด้วยตัวเอง และเรียนรู้จากสิ่งที่ตัวเองชอบ
ในคาบกิจกรรม “ลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้” ครูจ๊อดได้เริ่มนำเอาการเรียนรู้แบบใหม่ ที่ทางโรงเรียนได้ไปเข้าร่วมโครงการกับ Starfish (โรงเรียนบ้านปลาดาว) มาปรับใช้ กับห้องที่ครูสอนประจำชั้นอยู่ คือนักเรียนชั้น ป.6
เด็ก ๆ ห้องนี้เป็นพี่ใหญ่สุดในโรงเรียน จะมีความดื้อหน่อย และชอบทำกิจกรรมมากกว่าการเรียน ครูเลยลองเอาการสอนแบบนี้มาใช้ โดยให้เด็ก ๆ ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน
เริ่มจาก...
1. กลับไปสำรวจบ้าน
ให้เด็ก ๆ สำรวจที่บ้านของตัวเอง กลับไปดูว่ามีปัญหาอะไรบ้าง มีทรัพยากรอะไรบ้างที่มากเกินความจำเป็น หรือมีอะไรที่เจอบ่อย ๆ แล้วรู้สึกเบื่อ อยากเปลี่ยนแปลง
หลังจากได้ไปสำรวจแล้วเด็ก ๆ กลับมาเล่าให้ฟังว่า...
“ครู บ้านผมมีไม้ไผ่เยอะเกิน ตัดทำข้าวหลามจนเบื่อแล้ว”
“บ้านหนูไม่มีอะไรเลยที่เหลือใช้ บ้านหนูชอบทำเห็ดให้กิน เบื่อเห็ดไม่อยากกินเห็ดแล้ว”
“บ้านหนูอยู่ติดกับที่รับซื้อขยะ เห็นขวดน้ำกับฝาขวดเยอะมาก อาจจะใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นได้มากกว่าขาย”
2. แก้ปัญหาอย่างไรดีนะ
ครูให้เด็ก ๆ ลองคิดดูว่า สิ่งที่มีเยอะๆ จะแก้ปัญหาอย่างไรให้ดีขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลง แปลกใหม่ หรืออาจจะสร้างมูลค่าเอาไปขายได้ ให้ลองคิดดูว่าจะเอาไปทำอะไรดี
เด็ก ๆ แต่ละกลุ่มได้ไปคิดกันมา
กลุ่มแรก จะเอาไม้ไผ่ที่มีเยอะ มาทำแก้วไม้ไผ่
กลุ่มที่สอง จะเปลี่ยนจากแกงเห็ดที่กินบ่อย ๆ ที่บ้าน จากอาหารเมืองปกติ มาทำเป็น “เห็ดห่มผ้า” ด้วยการเอาเกี๊ยวมาห่อเห็ดแล้วทอด
กลุ่มที่สาม จะลองเอาฝาขวดน้ำไปทำโมเดลกล่องใส่ดินสอ ปากกา “ถ้าทำต่อยอดอาจจะกลายเป็นหุ่นยนต์ไงครู”
3. มาวางแผนกัน
ครูให้เด็ก ๆ ช่วยกันวางแผนในกลุ่ม ช่วยกันคิดและตกลงกันว่า ใครจะเอาอะไรมาบ้าง กลุ่มเราต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับอะไรบ้าง เช่น การใช้เลื่อย, การตัดไม้ไผ่, วิธีห่อเกี๊ยว, เห็ดแบบไหนกินได้ หรือกินไม่ได้
ในกระบวนการนี้จะช่วยสอนให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ที่จะไปหาความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่จะทำ ให้ได้ไปหาข้อมูลที่จะทำงานให้สำเร็จ
4. ครูช่วย “ยิงคำถาม”
ในกระบวนการหาปัญหา หาแนวทางแก้ปัญหา หาข้อมูล ครูจะไม่บอกตรง ๆ แต่ใช้การ “ยิงคำถาม”
ระหว่างที่ทำงานกันเป็นกลุ่มนั้น ทุกครั้งที่เด็ก ๆ คิดอะไร เขาจะเอามาเล่าให้ครูจ๊อดฟัง ครูจะค่อย ๆ ถามให้เด็กได้ตอบ ถามวนไปจนกว่าเราจะรู้สึกว่าเด็ก ๆ เข้าใจจริง ๆ
ใช้คำถามชวนให้เด้กได้คิด
“ถ้าจะทำต้องรู้อะไรบ้าง ?”
“ถ้าแบบนี้ทำไม่ได้ ต้องทำอย่างไรบ้าง ?”
“ต้องไปหาความรู้เพิ่มมั้ย ?”
ให้เวลาเด็ก ๆ ได้ลองไปคุยกันในกลุ่มดู ค่อย ๆ ให้เด็ก ๆ อธิบายวิธีการที่เขาจะทำงานให้ฟัง
เช่น กลุ่มที่ทำเกี๊ยว แสดงวิธีห่อเกี๊ยวให้ครูดู โดยเอากระดาษมาพับเป็นแผ่นเกี๊ยว
ด้วยการเรียนรู้แบบนี้ ครูเห็นว่าเด็กได้องค์ความรู้เป็นของตัวเอง มีความรู้เรื่องที่จะทำ ถึงจะวางแผนได้อย่างรอบคอบ
5. มาลงมือทำใน Maker Space
Maker Space คือห้องที่มีมุมสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ที่สร้างมาจากการไปดูงานที่ Starfish คุณครูได้ร่วมกันระดมความคิดตั้งแต่การทำห้องครั้งแรกว่า ควรซื้ออุปกรณ์อะไรมาให้นักเรียนได้ใช้ในมุมไหนบ้าง
เด็ก ๆ สามารถไปใช้มุมต่าง ๆ ตามความสนใจ เช่น มุมศิลปะ ประดิษฐ์ มุมงานช่าง มุมอาหาร
เมื่อถึงขั้นตอนที่ลงมือสร้างตามที่แต่ละกลุ่มได้วางแผนกันมาแล้ว ครูให้เด็ก ๆ เข้าไปทำงานกันในห้อง Maker Space โดยครูให้เด็ก ๆ ได้ลงมือทำเอง และเมื่อมีปัญหาอะไร ให้นักเรียนคุยกันให้แน่ใจก่อนว่า ปัญหานั้นแก้เองไม่ได้ จึงมาเรียกครู
และในระหว่างการทำงานกัน ครูอาจไปถามนักเรียนว่า กำลังทำอะไรกันอยู่และกำลังเจอกับปัญหาอะไร
ได้ลงมือทำจึงได้เรียนรู้...
กลุ่มที่จะทอดเกี๊ยวเจอปัญหาการเปิดแก๊ส
ครูหยอดคำถามว่า ปกติที่บ้านเปิดแก๊สอย่างไร ?
เมื่อครูประเมินว่าที่บ้านเด็ก ๆ ไม่เคยทำอาหาร ครูจึงสอนวิธีเปิดแก๊ส แต่ไม่ทำให้ ให้เด็กได้ลองทำเอง เมื่อทำเป็นแล้วเขาก็ภูมิใจในสิ่งที่ทำ
พอเริ่มห่อเกี๊ยวเจอปัญหาเกี๊ยวไม่ติด
ครูถามว่า เอาอะไรมาทาเกี๊ยวให้ติดดี
ให้เด็กได้ลองทำ เอาน้ำ น้ำมันมาทา และได้เรียนรู้จากการทดลอง
พอได้ทดลองทำเกี๊ยวเองแล้ว เด็ก ๆ บางคนอยากเอาไปทำให้แม่กินบ้าง บางคนได้ไอเดียว่าอยากเป็นเชฟ
กลุ่มที่ทำกล่องใส่ดินสอจากฝาขวดน้ำ
เอากาวมาติดฝาขวดแต่ติดแล้วไม่อยู่ เพราะใช้กาวแบบใส
ครูถามว่าใช้กาวอื่นมั้ย อาจจะใช้กาวอื่นติดได้
เด็กบอกว่าเอากาวอะไรที่แห้งเร็ว ๆ มาลองมั้ย ดูน่าจะติดง่าย “ลองใช้กาวร้อนมั้ยครู” พอลองกาวร้อนก็ใช้ได้จริง
เด็กได้เรียนรู้วิธีการใช้เครื่องมือ การใช้กาวร้อน
ตอนแรกที่ทำกล่องดินสอ เอามาต่อเป็นชั้น ๆ เท่ากัน เรียงแบบนี้แล้วไม่อยู่ ครูชวนคิดว่าทำแบบนี้แล้วไม่อยู่ จะทำอย่างไรดี
นักเรียนช่วยกันคิดว่าลองเอามาเรียงแบบสลับกันดู ก็ต่อได้
กลุ่มทำแก้วจากไม้ไผ่
พอนักเรียนใช้เลื่อยตัดไม้ไผ่ ไม่มีที่คีบยึดไม้ให้ไม่ขยับ ทุกคนในกลุ่มเลยมาช่วยกันจับไม้ไว้ ปกติครูไม่ค่อยเห็นนักเรียนช่วยกันทำงาน วันนี้ก็ได้เห็นการทำงานร่วมกันในกลุ่ม
พอตัดไม้ได้แล้วผิวไม่เรียบอาจจะบาดปากได้เมื่อเอาไปใช้ เด็ก ๆ ก็เอากระดาษทรายมาช่วยกันขัด
“แต่ผมเอากระดาษทรายเข้าไปข้างในไม่ได้ เพราะแก้วเป็นทรงสูง”
“ผมอยากเอาอะไรยาว ๆ ให้กระดาษทรายเข้าไปในแก้วได้”
เด็ก ๆ ลองเอาไม้พันกระดาษทรายเข้าไปถูก็ช่วยให้ขัดไม้ไผ่ด้านในแก้วได้ แต่ช้าไม่ทันใจ อยากให้เร็วกว่านี้
เด็ก ๆ จึงไปหาอุปกรณ์ในห้องมใช้ ได้ลองเอาสว่านมาพันปลายแล้วใช้ถูข้างในแก้วได้จนเรียบ
6. นำเสนอผลงานและรับคำแนะนำ
ครูได้ให้นักเรียนมานำเสนอผลงานให้กับผอ.และครูในโรงเรียนฟัง
เด็ก ๆ เล่าตั้งแต่ขั้นแรกเริ่มจนออกมาเป็นชิ้นงานได้หมด
เพราะได้ลงมือทำเอง แก้ปัญหาเอง ทำให้เด็ก ๆ จำได้ทุกขั้นตอน อธิบายได้อย่างละเอียด
ทุกคนได้รับคำชม ความคิดเห็นและคำแนะนำ
อย่างเช่นกลุ่มแก้วไม้ไผ่ ผอ.เห็นว่าสามารถเอาไปทำขายได้เลยในงานเปิดบ้านวิชาการของโรงเรียน แต่คิดว่าแก้วดูเรียบ ให้ลองปรับให้ดูแปลกใหม่
เด็ก ๆ ก็มาลองปรับ เอาสีมาทา แต่ก็ยังไม่พอใจผลงาน
เด็ก ๆ คิดว่าอยากลองแกะสลัก ให้ครูซื้อมีดแกะสลักไม้มาให้
ด้วยความที่เพิ่งเคยแกะสลักเป็นครั้งแรก เด็ก ๆ ยังทำเป็นลวดลายไม่ได้ แต่เขาสามารถปรับปรุงต่อยอดชิ้นงานจนตัวเองพอใจได้ และนำไปนำเสนออีกครั้ง
เมื่อได้เรียนแบบนี้ ครูได้เห็นว่า...
จริง ๆ แล้ว เด็กไม่ได้ดื้อ แค่ไม่ได้มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นเห็นว่า เขาก็มีความสามารถในการทำงานนะ ครูภูมิใจกับเด็ก ๆ มาก และได้เห็นว่าในระหว่างการทำงานด้วยกันเป็นทีม เด็กได้เรียนรู้จากการระดมความคิด ได้เรียนรู้ว่าการพูดคุยกับเพื่อน ๆ ต้องพูดอย่างไรให้งานเดินได้ โดยที่ไม่ทะเลาะกัน
ครูเห็นว่าเด็ก ๆ ภูมิใจในตัวเอง มันใจในตัวเองมากขึ้น
แต่ก่อนเด็กรู้สึกว่าเค้าด้อยกว่าคนอื่น แต่ตอนนี้เขากล้าที่จะบอกทุกคนได้ว่าเขาก็มีความสามารถ
เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง ได้รู้ว่าตัวเองสามารถทำได้ ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์สร้างสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมา
คุณครูทุกคนที่ได้เห็นก็พูดว่า เด็ก ๆ โตขึ้น และรู้สึกภูมิใจในตัวพวกเขา
ทัศนคติของครูที่เปลี่ยนไป...
จากแต่ก่อนครูเห็นว่าเด็กดื้อสอนยาก ตอนนี้ก็เปลี่ยนทัศนคติไปเลยว่าจริง ๆ แล้ว เด็กไม่ได้ดื้น เขาแค่มีทางของเขา
เราต้องเปิดกว้าง และลองให้เขาได้เลือกเดินทาง ให้ได้ลองลงมือทำดู
ทำงานโดยรับฟังความคิดเห็นของเด็ก ๆ มากกว่าที่เราจะไปชักจูงให้เขาคิดตามเรา จะทำให้เขาแก้ปัญหาได้ เรียนรู้ที่จะทำงานเป็นทีมได้ เขาได้เรียนรู้ทักษะการทำงานได้ดีกว่าเราไปสอนอีก
มันคือ learning by doing จริง ๆ
คือการเรียนรู้จากสิ่งที่เขาทำ และทำงานได้ด้วยตัวเอง
ครูต้องใจเย็น
ครูต้องไม่ไปจี้ถึงขั้นให้เด็กท้อ ต้องให้กำลังใจเด็กเสมอ
ใช้ความใจเย็นและรอบคอบ ต้องนำเด็ก ๆ ก่อนหนึ่งก้าวเสมอ และอย่าเพิ่งหมดไฟ
ถ้าเราเหนื่อยก่อน เด็ก ๆ ก็จะไปไม่ถึงเป้าหมาย
พอเด็กเห็นครูตั้งใจ เราไม่หมดไฟ พอเขาเจอปัญหา ก็จะรู้สึกว่าครูก็อยู่ด้วย ไม่เป็นไร และมีกำลังใจทำต่อจนเสร็จ
“ขอแค่ว่าครูอย่าเพิ่งท้อ ครูจ๊อดใช้เวลารวม ๆ แล้ว 15 ชั่วโมง ครึ่งเทอม ค่อย ๆ ทำไป
ถ้าช้าไปเด็กเบื่อ เร็วไปเด็กท้อ ต้องเดินไปข้างหน้าให้ได้ทุกคนบ แต่ต้องไม่ช้าหรือเร็วจนเกินไป”
ขอขอบคุณคุณครูผู้ร่วมแบ่งปันไอเดีย :D
ครูจ๊อด วรรณ์นิษฐา พื้นผา
โรงเรียนอนุบาลวังดิน