icon
giftClose
profile

ไอเดียการสอน Critical thinking ในคาบพระพุทธศาสนา

573410
ภาพประกอบไอเดีย ไอเดียการสอน Critical thinking ในคาบพระพุทธศาสนา

ไอเดียการสอนพระพุทธศาสนาที่จะทำให้เด็กๆได้ตั้งคำถามกับสิ่งที่เชื่อและใช้เหตุผลในการมองความแตกต่างทางความคิดอันหลากหลายของกันและกันอย่างสร้างสรรค์

ปุจฉา : ทำไมไม่ชอบเรียนวิชาศาสนา

วิสัชนา : เพราะศาสนาไม่มีเหตุผล เรียกร้องการบูชาและงมงายในพิธีปฏิบัติ

อาจเป็นเช่นนั้น หรือไม่ใช่?

ในฐานะครูผู้สอนวิชานี้จึงเริ่มตกตะกอนความคิดว่า

“แล้วการสอนศาสนาในบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นควรเป็นอย่างไร”

เราจะสอนให้เด็กๆของเราเติบโตขึ้นเป็นเด็กไหว้สวยรวยพิธีกรรม จำบทสวดได้ครบทุกพยางค์กระนั้นหรือ?

ไม่เลย สิ่งที่ว่ามาทั้งหมดก็ไม่มีอะไรเสียหาย แต่เราอาจทำได้มากกว่านั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ครูโจอี้คิดไอเดียการสอนวิชาพระพุทธศาสนาขึ้นมาโดยใช้หลักการ “Critical Thinking” เป็นพื้นฐาน เพื่อให้ศาสนาสอนนักเรียนของเขาให้รู้จักตั้งคำถาม ใช้เหตุผลและมีพื้นที่ปลอดภัยในการแสดงความคิดเห็น โดยมีขั้นตอนการทำกิจกรรมดังนี้

ชื่อกิจกรรม “Debate and Discuss” (workshop)

จุดมุ่งหมาย : เพื่อให้นักเรียนได้เกิดการตั้งคำถามและหาคำตอบอย่างมีเหตุผลให้ความเชื่อของตนเองและยอมรับความแตกต่างทางความคิดของคนอื่นๆอย่างสร้างสรรค์

กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่1

เริ่มด้วยกิจกรรม “แบบทดสอบความเป็นชาวพุทธ”

1.แจกแบบสอบถามให้เด็กๆทำการประเมินตนเองดังนี้

ตัวอย่างแบบสอบถาม

*** กาเครื่องหมายถูกลงในช่องว่างข้างหลังที่ตรงกับตัวเอง

อาจใส่ช่อง “ได้” หรือ “ไม่ได้” เพื่อความชัดเขนยิ่งขึ้น

และเพิ่มช่อง “หมายเหตุ” เพื่อบอกเหตุผล

เช่น เป็นผู้กระทำศาสนพิธีไม่ได้ หมายเหตุ เพราะจำบทสวดไม่ได้ หรือเพราะนับถือศาสนาอื่น เป็นต้น

 


2.เมื่อนักเรียนทำแบบประเมินเสร็จแล้ว ก็ให้แยกพวกเขาออกเป็นกลุ่มๆตามคะแนนที่ทำได้ เรียงลำดับจากมากสุดไปหาน้อยที่สุด ไล่จากหน้าห้องซึ่งได้คะแนนมากที่สุดไปยังหลังห้องที่ได้คะแนนน้อยที่สุด

3.ถามแต่ละคนว่าพวกเขามองเพื่อนๆที่ได้คะแนนต่างจากตนอย่างไร (คนได้คะแนนน้อยนั้นดูเป็นคนไม่น่าคบหรือ? หรือว่าคนที่ได้คะแนนมากๆนั้นดูต่างไปตรงไหน?)

- ผลลัพธ์ของอาจารย์โจอี้คือ นักเรียนในชั้นนั้นเงียบกริบ งุนงงและหาข้อแตกต่างนั้นไม่เจอเลย (อาจเพราะมันไม่มีอยู่แต่แรกแล้ว)

4.สรุปการทำกิจกรรม “คนจะมีหรือไม่มีศาสนาไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่ามีระดับศีลธรรมแตกต่าง”

ไม่ว่าจะมีความเป็นศาสนิกชนมากกว่าหรือน้อยกว่าในการปฏิบัติบูชาแค่ไหน ก็ต้องมีคำสอนทางศาสนาที่ไม่เหมือนกันอยู่ดี ต่อให้นักเรียนชาวพุทธปฏิบัติตามข้อข้างบนได้ครบทุกข้อ พวกเขาก็ยังเป็นผู้ที่ไม่ได้เข้าล้างบาปในศาสนาคริสต์ ต่อให้ศาสนิกชนชาวอิสลามงดรับประทานเนื้อหมูชั่วชีวิต พวกเขาก็ยังคงไม่ไหว้พระพุทธ ดังนั้นแล้วความแตกต่างตรงนี้จึงไม่อาจชี้วัดศีลธรรมในตัวใครต่อใครได้

สุดท้ายแล้วแบบทดสอบพุทธที่แท้จริงนั้น ก็ไม่ได้บ่งบอกความเที่ยงแท้ของความเป็นมนุษย์ให้ผู้ใดเลย

กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่2



1.เตรียมกระดาษคำต่างๆ (มีตัวอย่างให้ดูข้างล่าง : อ้างอิงจากเพจ พุทธที่แท้จริง)

- “คนเราทำชั่วได้ทุกนาที แต่พอทำดีต้องมีฤกษ์ยาม”

- “ถ้าผีกลัวพระ แล้วพระที่ตายแล้วเป็นผีจะกลัวพระมั้ย”

- “หากจุดธูปแล้วขออะไรก็ได้ธูปกำหนึ่งคงราคาหลายล้าน ไม่ใช่ 40-50 บาทอย่างนี้”

- “ถ้าเผาซาซิมิให้บรรพบุรุษ ท่านจะได้เนื้อสดหรือเนื้อย่าง”

2.แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มย่อยๆ 5-7 คน (ตามจำนวนที่เหมาะสมในแต่ละชั้นเรียน) แล้วแจกกระดาษคำถาม

3.ให้นักเรียนเริ่มแสดงความคิดเห็นต่อโควทคำพูดต่างๆที่กำหนดให้ในกลุ่มของตัวเองว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับถ้อยคำดังกล่าว


- หากเห็นด้วยจะสนับสนุนอย่างไร

- หากไม่เห็นด้วยจะแก้ไขอย่างไร


4.ให้แต่ละกลุ่มออกมาอภิปรายให้เพื่อนฟังทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับถ้อยคำดังกล่าว และแลกเปลี่ยนมุมมองเพื่อสรุปผล

ตัวอย่างผลลัพธ์เบื้องต้นจากคลาสของคุณครูโจอี้

-         เด็กๆหลายคนให้ความเห็นต่างกันเรื่องการเผาเนื้อไปให้บรรพบุรุษ ส่วนหนึ่งว่าเผาแปลว่าต้องสุก อีกส่วนกล่าวว่าเผาเป็นเพียงความเชื่อที่จะส่งอาหารไปอีกโลกเท่านั้น เนื้อจะยังคงดิบอยู่เช่นเดิม

ซึ่งตรงจุดนี้เองเด็กๆคงยังไม่ถึงกับจะตีกันเรื่องเนื้อดิบหรือสุกแต่นี่คือความขัดแย้งทางความคิดอย่างหนึ่ง คุณครูโจอี้จึงได้ให้ความเห็นว่า หากผลสุดท้ายเนื้อจะดิบหรือสุกก็ยังคงเป็นความเชื่อของแต่ละคน ไม่จำเป็นต้องเอาชนะกัน ใครคิดว่าดิบก็เผาและเชื่อว่าดิบ ใครว่าสุขก็เผาส่งไปด้วยความเชื่อเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องเบียดบังกัน


พอได้ลงรายระเอียดกิจกรรมเช่นนี้ก็พบว่าเด็กๆมีความสนุกสนานและตั้งคำถามอื่นๆตามมาเกี่ยวกับความเชื่อของพวกเขาอย่างหลากหลายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียกพระว่าแครอทนั้นบาปไหม นรกสวรรค์มีจริงหรือ ซึ่งในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวันอย่างในปัจจุบันนั้นการตั้งคำถามเช่นนี้ไม่ควรถูกจำกัดกรอบด้วยคำว่า “บาปกรรม” หรือ “เงียบไปเสีย ใครเขาถามกัน”

ต่อให้ไม่สามารถตอบคำถามเหล่านั้นได้หมดก็ควรรักษาความใฝ่รู้นี้ของเด็กๆไว้ เพราะสิ่งเหล่านี้เองที่จะเป็นกำลังต่อยอดให้พวกเขาในอนาคต ศาสนาย่อมถกเถียง ตั้งคำถามและสร้างความสงสัย แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความเคารพความเห็นต่างของกันและกันต่างหากที่จะธำรงสังคมอุดมปัญญาของมนุษย์เราให้อยู่ร่วมกันต่อไปได้

ขอขอบคุณไอเดียดีๆและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์แสนคุ้มค่าจาก นายจักรกฤษณ์ ต่อพันธ์ (คุณครูโจอี้)

ไฟล์ที่เกี่ยวกับไอเดีย

ไฟล์ที่ 1 จากทั้งหมด 1

ชื่อไฟล์​: กิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้.pptx

ดาวน์โหลดแล้ว 249 ครั้ง


รีวิว
(0)
ดาวน์โหลด
(15)
เก็บไว้อ่าน
(31)