เมื่อตัวเลขที่ปรากฏบนใบแสดงผลการศึกษา กำลังตัดสินความสามารถของนักเรียนแต่ละคน ทั้งที่พวกเขามีความชอบที่แตกต่างกัน มีความสามารถที่แตกต่างกัน และมีพื้นฐานที่แตกต่างกัน แล้วการวัดประเมินผลที่พวกเรากำลังใช้กันอยู่นี้มีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด?
บทความนี้ได้เชิญคุณครู 4 ท่านจากสองสายวิชา มาให้ความเห็นเกี่ยวกับวิธีการประเมินผลที่พวกเรากำลังใช้อยู่ในปัจจุบัน
โดยมีคุณครูจากสายศิลปศาสตร์ 2 ท่าน ได้แก่ ครูจูเนียร์ ณชนก หล่อสมบูรณ์ คุณครูวิชาศิลปะของนักเรียนระดับประถมศึกษา โรงเรียนศศิภา และ ครูน้ำน้อย ปรียศรี พรหมจินดา คุณครูจิตอาสาและนักวิชาการอิสระด้านศิลปศึกษา
และคุณครูจากสายวิทยาศาสตร์ 2 ท่าน ได้แก่ ครูแจ๋ว ไสว อุ่นแก้ว คุณครูวิชาชีววิทยาและการบูรณาการ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ และครูติ้ง จินตนา วงศ์ต๊ะ คุณครูวิชาชีววิทยา ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนดรุณสิกขาลัย (โครงการ วมว.)
“จากประสบการณ์ในวัยเรียนที่เคยเรียนศิลปะมา ศิลปะเป็นสิ่งที่สามารถดูได้จากผลงาน หรือ การแสดง (Performance) ของนักเรียน การวัดผลจะขึ้นกับคุณครูผู้สอนเท่านั้น ทำให้คะแนนที่ประเมินได้ขึ้นอยู่กับมาตรฐานของครูผู้สอนแต่ละคน” - ครูติ้ง
“ศิลปะคือความรื่นรมย์ เป็นวิชาที่ทำให้เด็กได้ค้นพบ ได้เห็นความถนัด และความชอบของตนเอง เด็กควรจะมีความสุข มากกว่าที่เราจะไปตัดสินผลงานเขาได้” - ครูแจ๋ว
“ศิลปะยุคใหม่ ศิลปินจะเสนอด้วยวิธีใดก็ได้ เพราะเขาชื่นชมกันที่กระบวนการคิด”
ในปัจจุบัน ประเทศไทยยังโฟกัสไปที่การสร้างนวัตกรรม ทำให้เมื่อพูดถึงการสร้างกระบวนการคิด ผู้คนจะให้ความสนใจไปยังสายของวิทยาศาสตร์เสียส่วนใหญ่ ในขณะที่วิชาศิลปะจะไม่ถูกให้ความสำคัญมากนัก ด้วยความเชื่อที่ว่าวิชาศิลปะเป็นเพียงวิชาที่เพ้อฝัน ให้เด็กได้มีจินตนาการเท่านั้น
แต่ต่างประเทศเชื่อว่าทุกวิชามีบทบาทในการเพิ่มพูนกระบวนการคิดเท่ากันหมด เพราะศิลปศึกษา ก็เป็นศาสตร์แรกที่เด็กได้เรียนตั้งแต่ปฐมวัย เพื่อเป็นสื่อกลางที่ช่วยให้เขาได้ฝึกควบคุมร่างกาย อารมณ์ และสติปัญญา ก่อนจะได้รับศาสตร์ความรู้ใหม่ในระดับถัดไป วิชาศิลปะจึงมีความสำคัญต่อพัฒนาการของนักเรียน และควรมีการประเมินที่มีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ไปทำลายความคิดของใครคนหนึ่งจนพวกเขาต้องปิดกั้นต่อวิชาศิลปะตลอดไป
“สุนทรียภาพของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เรากำลังตัดสินกับสิ่งที่คนอื่นอิน”
การประเมินผลคะแนนวิชาศิลปะในปัจจุบัน ครูจูเนียร์และครูน้ำน้อยมีความรู้สึกว่ายังไม่ยุติธรรมสำหรับนักเรียน เนื่องจากผลงานทุกอย่างเกิดขึ้นจากตัวเด็ก แต่เราเอาผู้ใหญ่ที่มีพัฒนาการและประสบการณ์มากกว่ามาเป็นที่ตั้ง และตัดสินพวกเขาจากความคิดของเรา
“เมื่อนักเรียนเป็นผู้ทำผลงาน นักเรียนก็ควรมีสิทธิได้ประเมินตนเอง”
ด้วยพื้นฐานของนักเรียนแต่ละคนไม่เท่ากัน ทำให้เราไม่สามารถตัดสินประสิทธิภาพการเรียนรู้ผ่านชิ้นงานของนักเรียนได้ สิ่งสำคัญที่ครูจูเนียร์และครูน้ำน้อยคาดหวัง คือ การให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางของการประเมิน โดยพวกเขาต้องให้คะแนนตัวเองในมุมของผู้ทำชิ้นงาน ระบุเหตุผล รวมถึงอุปสรรคในการทำงานชิ้นนั้น
ในส่วนของคุณครูจะให้คะแนนนักเรียนในฐานะผู้มองเห็นพัฒนาการ โดยคุณครูต้องรู้ Learning curve ของนักเรียนแต่ละคน เพื่อให้รู้พัฒนาการและความตั้งใจที่แท้จริงของเด็ก แล้วจึงนำคะแนนทั้งสองส่วนมาเปรียบเทียบกัน และหาคะแนนที่เหมาะสมต่อชิ้นงานนั้น ๆ การประเมินนี้ยังทำให้นักเรียนได้รู้ข้อผิดพลาดของตนเองจากมุมมองของคุณครู ซึ่งจะส่งผลให้พวกเขาสามารถปรับปรุงชิ้นงานได้ในลำดับถัดไป
หากสนใจกระบวนการสร้างสรรค์ในห้องเรียนศิลปะของครูน้ำน้อยและครูจูเนียร์ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ Choice-based learning ศิลปะตามใจผู้เรียน และ ห้องเรียนศิลปะ สนุก..เลือกได้! ได้เลยครับ
“วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เป็นองค์ความรู้ที่มีความแน่นอน สามารถตรวจสอบความถูกผิดได้ การวัดประเมินผลจึงมีความเหมาะสมอยู่แล้ว” – ครูจูเนียร์
“ทุกคนมีความสามารถแตกต่างกัน และวิทย์-คณิตเป็นวิชาที่มีความเป็นนามธรรมค่อนข้างสูง ถ้าเราสามารถทำให้เด็กมองเห็นความสอดคล้องในชีวิตประจำวัน ทุกคนจะกล้าเรียนรู้มากยิ่งขึ้น” - ครูน้ำน้อย
“เรากำลังวัดทักษะด้านวิชาการเท่านั้น”
การวัดผลวิชาวิทยาศาสตร์เป็นเพียงการแสดงความสามารถเฉพาะด้านเท่านั้น เพราะนักเรียนแต่ละคนมีความถนัดที่แตกต่างกัน แต่เกรดก็สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบในฐานะนักเรียนได้ แต่ไม่ใช่ศักยภาพทั้งหมดที่พวกเขามี
“เรายังถูกจำกัดในกรอบของระบบการศึกษา”
ครูติ้งเชื่อว่าเรายังไม่สามารถยกระดับการประเมินผลของทุกโรงเรียนให้เท่ากันได้ เพราะโรงเรียนแต่ละแห่งอยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานที่แตกต่างกัน เช่น โรงเรียนของครูติ้งเป็นโรงเรียนในสังกัดของกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ซึ่งทำให้สามารถจัดเกณฑ์ประเมินในรูปแบบอุดมศึกษาได้ ในขณะที่หลาย ๆ โรงเรียนอยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งก็มีระเบียบให้ปฏิบัติตาม และยังมีเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น
“ความถนัดเขา กับตัวชี้วัดของเราไม่ตรงกัน”
ครูแจ๋วกล่าวว่า ในสมัยเรียนไม่ว่าครูแจ๋วจะทำเกรดได้ดีหรือแย่เพียงใด คุณพ่อก็ไม่ได้ชื่นชมหรือเสียใจกับเกรดของครูแจ๋วเลยแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาสนใจเรื่องการหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวเท่านั้น ทำให้ครูแจ๋วรู้สึกว่าบางครั้งทักษะที่พวกเขาต้องการอาจไม่ใช่สิ่งที่แสดงอยู่ในใบแสดงผลการเรียนเพียงอย่างเดียว การแสดงผลการเรียนที่ดีจึงควรบอกได้ว่านักเรียนมีความถนัดด้านอะไรที่ไม่ใช่เพียงแค่วิชาการ เพื่อให้เขาสามารถค้นพบและเลือกพัฒนาตนเองต่อไปได้
“เกรดไม่สามารถสะท้อนความสามารถนักเรียนได้”
คำนี้เป็นสิ่งที่โรงเรียนของครูติ้งกำลังสนใจอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์-วิศวกรรมศาสตร์ ทำให้นักเรียนที่ไม่ถนัดสายใดสายหนึ่งได้รับเกรดน้อยกว่าคนอื่น ทั้ง ๆ ที่พวกเขาก็สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ดี
ในอนาคตอันใกล้นี้โรงเรียนของครูติ้งจึงสนใจที่จะทำใบแสดงผลการศึกษาออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ Grade transcript และ Competency-based transcript ซึ่งตัว Competency-based transcript นี้เองจะเป็นใบแสดงระดับความสามารถของนักเรียนในด้านต่าง ๆ เช่น ทักษะด้านการเขียนโปรแกรม ทักษะด้านการวาดภาพ เป็นต้น ซึ่งทั้งตัวนักเรียน ผู้ปกครอง ตลอดจนผู้ที่คัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาต่อจะได้ทราบว่านักเรียนมีความสามารถใดบ้างนอกเหนือจากทักษะด้านวิชาการ
แม้จะอยู่ในต่างสายวิชา ต่างแนวคิด แต่สิ่งที่คุณครูทุกท่านความคาดหวังต่อการประเมินผล คือ การแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่แท้จริงของนักเรียน ไม่ใช่เพียงการตัดสินที่ชิ้นงาน หรือความสามารถในวิชาใดวิชาหนึ่งเท่านั้น เพื่อให้พวกเขาได้ค้นพบความถนัด และเลือกพัฒนาความสามารถของตนเองต่อได้ในอนาคต :)
แท็กที่เกี่ยวข้อง