คนไม่รู้=คนโง่จริงไหม?
หลายครั้งที่มีการถามคำถาม มักจะได้ยินคำตอบว่า “ไม่รู้” สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือคนที่บอกว่าไม่รู้มักจะถูกมองว่าโง่ ทำให้เกิดการตีตรา “คนไม่รู้=คนโง่” สิ่งนี้เป็นกับดักความคิดและค่านิยมที่มีต่อเด็กไทยมาโดยตลอด จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ครูเอิร์ธชูมองว่ามันไม่ใช่เรื่องผิดในความไม่รู้ แต่มันเป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำที่คนเราจะเกิดความไม่รู้ในทุกเรื่อง เพียงแต่ว่าเราสามารถเข้าใจและเชื่อมั่นตัวเองได้ไหมว่า ทำไมเราถึงไม่รู้ เกิดจากอะไร เรามีความจำเป็นที่จะต้องรู้ไหม โดยที่ไม่ตัดสินตัวเองไปก่อนว่า “เพราะเราโง่เราถึงไม่รู้”
ครูเอิร์ธชู-ลัลน์ปวีณ์ ชูชาติเจริญพร จาก Teach For Thailand สอนวิชาภาอังกฤษเป็นวิชาหลัก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 โรงเรียนบ้านสมเตี๊ยะ จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ที่มีความรู้สึกว่าโรงเรียนเป็นพื้นที่ที่ทำให้คนเหมือนกันไปเรื่อยๆ ซึ่งเราเป็นหนึ่งบุคลากรในระบบการศึกษา จึงต้องทำให้เห็นว่า “แต่ละคนมีความแตกต่างกัน ทั้งด้านความรู้ ประสบการณ์ สังคม ภาษา วัฒนธรรม สิ่งเหล่านี้จะประกอบมาเป็นคนหนึ่งคน ถึงแม้จะมีความแตกต่างกัน แต่เราสามารถไปต่อด้วยกัน จากพื้นฐานที่เคยมี ชีวิตที่เคยมา” ครูเอิร์ธชูกล่าว
ครูเอิร์ธชูจึงให้ความสำคัญในการวัดความรู้เดิมที่นักเรียนมี ว่าพื้นฐานของนักเรียนแต่ละคนเป็นเช่นไร ความรู้และความสามารถในการรับรู้เนื้อหาของนักเรียนมากน้อยเพียงใด สำหรับวิธีการวัดความรู้เดิมของนักเรียนไม่ใช่เพียงแค่การทำข้อสอบก่อนเรียนและหลังเรียนทั่วไป ครูเอิร์ธชูเรียนจบจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาการละคอน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำให้รูปแบบการเรียนรู้เป็นกิจกรรมในรูปแบบ Active Based Learning ที่สามารถสร้างการมีส่วนร่วม ความสนุกสนาน ความบ้าบิ่นเต็มพลังของครูและนักเรียน
กระดุมเม็ดแรกที่ควรให้ความสำคัญ
การสอนของครูเอิร์ธส่วนเนื้อหาจะเน้นการเข้าใจหลักการ แต่สิ่งสำคัญคือการทำกิจกรรม การทดลอง การเล่นเกมส์ และออกแบบการเรียนรู้ที่สามารถให้นักเรียนนำหลักการมาใช้ได้จริง สำหรับการวัดความรู้เป็นเหมือนการตรวจสอบพื้นฐานของผู้เรียน เพื่อที่จะไปต่อด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยครูเอิร์ธชูได้ออกแบบแนวทางการวัดความรู้นักเรียน ดังนี้
1.การพูดคุยกับนักเรียน
เป็นการสร้างความไว้วางใจให้เกิดความเชื่อใจกัน เพื่อที่จะไปต่อด้วยกันได้อย่างเข้าอกเข้าใจผู้เรียน ครูเอิร์ธชูจะเป็นผู้เข้าไปคุยกับนักเรียนหรือเรียกนักเรียนมาพบ เพื่อถอดบทเรียนการเรียนรู้ที่ผ่านมา เพื่อให้ออกแบบการสอนได้ต่อไปหลังจากที่รู้พื้นฐานนักเรียนแล้ว
2.การวัดความรู้ ความเข้าใจก่อนเรียน
ต่อจากการพูดคุยกับนักเรียน การให้นักเรียนทำข้อสอบก่อนเรียนเป็นวิธีการวัดเบื้องต้น เพื่อดูทักษะในแต่ละด้าน ผลปรากฏว่าในขั้นตอนนี้ นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหา แต่เพียงแค่การแสดงออก เช่น การเขียน การสะกดคำ จะมีผิดพลาดบ้าง เราก็นำไปพัฒนาให้ดีขึ้นต่อไป
3.การวัดความเข้าใจระหว่างในห้องเรียน
ครูเอิร์ธชูจะวัดความเข้าใจทีละขั้นระหว่างการสอน ก่อนที่จะไปต่อ เช่น การสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับทิศทาง แบ่งคำศัพท์ออกเป็น 2 กลุ่ม กำหนดกลุ่มละ 4 คำ ทางซ้ายและทางขวา ก่อนจะข้ามไปอ่านอีกกลุ่ม ครูเอิร์ธชูจะถามนักเรียน “คนไหนยังอ่านไม่ได้บ้าง ใครยังแปลไม่ได้บ้าง” ซึ่งสามารถติดตามการเรียนรู้ได้และแก้ไขในจุดที่ไม่เข้าใจได้ทันที
4.การวัดความเข้าใจหลังเรียน
ครูเอิร์ธชูได้สร้างแบบทดสอบทัศนคติต่อวิชาภาษาอังกฤษหลังเรียน พบว่านักเรียนร้อยละ 70 มีทัศนคติที่ดีขึ้นต่อวิชาภาษาอังกฤษ การประเมินนักเรียนเป็นเพียงข้อบ่งชี้ความรู้ความเข้าใจในเนื้อหา ที่สามารถวางแผนเป้าหมายที่มีน้ำหนักและความเป็นไปได้ในการทำงานต่อไป สิ่งสำคัญกว่านั้นนักเรียนสามารถปรับเปลี่ยนมุมมองว่า ความไม่รู้ไม่ใช่สิ่งที่ผิดเพราะความไม่รู้จึงกระหายความอยากรู้ อยากทะเยอทะเยานเพื่อที่จะมีความรู้ให้มากขึ้น
“การติดตามการเรียนรู้ของตัวเอง ทำให้นักเรียนรู้เท่าทันความเข้าใจของตัวเองและสามารถควบคุมการเรียนรู้ตัวเองว่าจะไปต่ออย่างไร” ครูเอิร์ธกล่าว
กระดุมเม็ดแรกที่ถูกปรับแก้
การให้ความสำคัญกับความรู้และความเข้าใจของนักเรียนผ่านการทำกิจกรรมในห้องเรียน ทำให้นักเรียนมีความกล้าแสดงออกมากขึ้น ไม่กลัวความผิดพลาด กล้าพูดภาษาอังกฤษมากขึ้น และนำภาษาอังกฤษมาใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การโพสลงโซเชียลมีเดีย การพูดภาษาอังกฤษ ทำให้นักเรียนทีทัศนคติและมุมมองต่อภาษาอังกฤษ จากสิ่งที่ทุกคนไม่ชอบให้เป็นเรื่องธรรมดา จนสร้างแรงขับเคลื่อนมาเป็นแฟชันในวงการวัยรุ่นได้ ฉะนั้นการติดกระดุมเม็ดแรกที่ถูกต้องและแข็งแรง ก็จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ขั้นต่อไปนักเรียนสามารถรู้และเข้าใจตัวเอง พร้อมทั้งก้าวออกจากกรอบเดิมที่เคยมีด้วย
ขอขอบคุณไอเดียจาก ครูเอิร์ธชู-ลัลน์ปวีณ์ ชูชาติเจริญพร จาก Teach For Thailand
แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru
เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย
ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!