ทำไมวิทยาศาสตร์ถึงมักถูกมองว่าเป็นวิชาที่ยาก?
ทั้งที่กลไกทางวิทย์อยู่ในทุกอย่างรอบตัวของเรา!
.
การสอนให้เด็ก ๆ เห็นภาพเรื่องที่ “ยาก”
อย่างแนวคิดทางวิทย์ที่เป็นนามธรรมและซับซ้อน
ถือเป็นความท้าทายของครูวิทย์หลายคน
.
ลองมาดู 4 วิธี ที่จะช่วยเล่าเรื่องวิทย์ยาก ๆ
ให้เด็กเข้าใจง่ายขึ้นได้กัน
.
(1) ทำให้ง่ายด้วยการอธิบายแบบ 5 ขั้นบันไดด้วย SOLO Taxonomy
เริ่มอธิบายจากหลักการง่าย ๆ
แล้วค่อย ๆ เพิ่มระดับการเชื่อมโยงแนวคิดเข้าไปเป็นขั้น
โมเดลแนวคิดนี้เรียกว่า SOLO Taxonomy
มาลองดูตัวอย่างหัวข้อการสอนเรื่อง “พันธะเคมี” กัน
.
ขั้นที่ 1: โครงสร้างพื้นฐาน (Pre-structural)
อธิบายว่าพันธะเคมีมี 3 ประเภทหลัก ได้แก่ พันธะไอออนิก,
พันธะโควาเลนต์, พันธะโลหะ
ขั้นที่ 2: มุมเดียว (Uni-structural) อธิบายเหตุผลมุมเดียว
คุณสมบัติหลักของพันธะทั้ง 3 ประเภทนั้นคืออะไรบ้าง
ขั้นที่ 3: หลายมุมมอง (Multi-structural)ให้เหตุผล
ที่มากไปกว่ามุมเดียวได้ เช่น
อธิบายความต่างและตัวอย่างของพันธะเคมีทั้ง 3 แบบได้
ขั้นที่ 4: เห็นความสัมพันธ์ (Relational)
เชื่อมโยงความสัมพันธ์ในแง่มุมต่าง ๆ ได้ เห็นภาพรวม
เชื่อมโยงได้ว่าพันธะแต่ละแบบส่งผลกับคุณสมบติทางเคมีของสารได้อย่างไร และอธิบายคุณสมบัติของสารได้โดยอิงจากโครงสร้างพันธะ
ขั้นที่ 5: ขยายนามธรรม (Extended Abstract)
สร้างสมมติฐานใหม่ที่สะท้อนแนวคิดสำคัญได้
เปรียบเทียบข้อเหมือนข้อต่างระหว่างคุณสมบัติของพันธะทั้ง 3 ชนิดได้
.
การอธิบายแบบ 5 ขั้นตามหลัก SOLO Taxonomy จะช่วยอะไร?
.
นักเรียนได้ทำความเข้าใจองค์ความรู้ไปทีละขั้น
ได้เห็นว่าเนื้อหาค่อย ๆ ซับซ้อนขึ้นอย่างไร
รู้ว่าตอนนี้เข้าใจถึงขั้นไหน
และขั้นต่อไปของการเข้าใจความรู้คืออะไร
ครูตอนเตรียมสอนก็ได้ฝึกไล่ระดับ
การเรียบเรียงความเข้าใจของตัวเองด้วย
.
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SOLO Taxonomy จากครูพลได้ที่ >> https://inskru.com/idea/-McOh3FCiMHnsRfJUkmh
ตัวอย่างเรื่องพันธะเคมีจาก : https://www.pinterest.com/pin/422212533787224995/
.
(2) ทำให้ง่ายขึ้นด้วย Feyman Technique จดสรุปก่อนสอน 4 ขั้นตอน
“ถ้าคุณอธิบายเรื่องนั้นออกมาให้เข้าใจง่าย ๆ ไม่ได้
แสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจเรื่องนั้นจริงๆ”
.
วิธีการลองสรุปก่อนสอน:
1. เขียนหัวข้อเรื่องที่ต้องการจะย่อยความรู้
2. ลองเขียนอธิบายเรื่องนั้นเป็น “ภาษาพูด”
เหมือนจะเล่าให้ใครฟัง โดยให้คิดเหมือนเล่าให้
“คนที่เคยฟังเรื่องนี้เป็นครั้งแรก”
โดยอาจยก “ตัวอย่าง” มาอธิบายแนวคิดสำคัญนี้
และเชื่อมโยงแนวคิดกับเหตุและผล
3. ลองดูจุดที่ครูยังอธิบายได้ไม่ลื่นไหล
แล้วกลับไปทบทวน เพิ่มเนื้อหาส่วนที่ขาด
4. อ่านดูอีกครั้งว่าเข้าใจไหม
ปรับศัพท์ให้ง่ายลง
(ไว้ค่อยไปจำศัพท์เทคนิคทีหลังก็ได้นี่!)
.
ตัวอย่างการสอน
ครูจะสอนกฎของนิวตันเรื่องแรง F=ma
ลองเขียนเล่าง่ายๆก่อนว่า
แรง ความเร่ง มวลก่อนว่าคืออะไร
.
ลองยกตัวอย่างการเข็นรถที่จอดอยู่นิ่ง ๆ มาอธิบาย
ว่าการที่จะผลักให้รถเคลื่อนที่ได้ (มีความเร่ง a)
ขึ้นอยู่กับอะไรบ้างนะ
แรงที่เราออก (F) กับมวลของรถ (m) ใช่ไหม?
.
ถ้าเราออกแรงเยอะขึ้น รถก็จะเคลื่อนที่เร็วขึ้นใช่ไหม
(F เพิ่มขึ้น a ก็จะเพิ่มขึ้น)
แต่ถ้ารถเป็นคันใหญ่ รถก็จะเคลื่อนที่ช้าลง
(ถ้า m มาก a ก็จะลดลง)
แล้วค่อยแทนหลักการเป็นสมการ ให้เด็กๆ เข้าใจที่มา
แทนการเริ่มคาบด้วยสูตร แล้วอธิบายตัวแปรที่มองไม่เห็นภาพ
.
ลองเขียนสรุปเป็นภาษาพูด แล้วเล่าเรื่องนี้ดู
ระหว่างเล่าลองถามตัวเองเรื่อย ๆ ว่า ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
ตรงนี้มาได้ยังไง? จะช่วยให้ครูหาจุดที่ตัวเองต้องเติมได้
.
(3) ทำให้ง่ายขึ้นโดย "การเปรียบเทียบ" กับสิ่งที่เด็กรู้จัก
เปรียบเทียบให้ขนานไปกับตัวอย่าง
เหตุการณ์ ปรากฏการณ์รอบตัว
การเปรียบเทียบแบบนี้จะช่วยให้เด็ก
เริ่มทำความเข้าใจแนวคิดที่ใหม่สำหรับเขา
โดยเชื่อมโยงจากตัวอย่างที่เขาคุ้นเคยรู้จักอยู่แล้ว
.
การเปรียบเทียบอุปมา (Metaphor)
แนวคิด/เนื้อหาเข้ากับตัวอย่างที่เด็ก ๆ คุ้นเคย
เช่น ครูอาจเปรียบเทียบดีเอ็นเอ
เป็นเหมือนคู่มือที่กำหนดลักษณะของเรา
และการตัดต่อพันธุกรรมคือ
กรรไกรที่จะไปตัดแต่งคู่มือนั้น
อย่างการเอาส่วนที่ไม่ดี (เป็นโรค, เกิดการแปรพันธุ์)
ออกไป เป็นต้น
.
การเปรียบเทียบความต่างความคล้าย (Analogy)
เช่น การสอนเรื่องเซลล์และส่วนต่าง ๆ ของเซลล์
โดยอาจเปรียบเทียบเซลล์เป็นโรงเรียน
ผนังเซลล์และเยื่อหุ้มเซลล์เป็นเหมือนด่านรั้วของเมือง
คอยกำหนดว่าให้ใคร (สาร) เข้า-ออกได้บ้าง
ไลโซโซมเป็นเจ้าหน้าที่ทำความสะอาด
เพราะคอยทำลายสิ่งที่สกปรกในโรงเรียน (เซลล์)
โปรตีนก็เหมือนนักเรียน
ส่วนครูเป็นกอลจิบอดีที่คอยต่อเติมโปรตีนให้สมบูรณ์
พร้อมส่งโปรตีนไปที่ต่าง ๆ ทั้งในและนอกโรงเรียน ฯลฯ
ลองเปรียบเทียบแบบนี้ก็ได้นะ
.
(4) ทำให้ง่ายโดยใช้ภาพเข้าช่วย
ครูอาจลองใช้ภาพ เช่น ภาพจริง กราฟ
แผนภาพ ภาพจำลอง หรือ สัญลักษณ์
เข้่ามาช่วยอธิบายแนวคิดหลักหรือทำให้เห็นกระบวนการ
การเคลื่อนไหว การเคลื่อนที่ของกลไก
ทางวิทยาศาสตร์ได้มากขึ้น
.
การใช้ภาพอธิบายแทนข้อความจะทำให้เด็ก
เห็นภาพสิ่งที่เป็นนามธรรม และช่วยในการเชื่อมโยงความรู้
หัวข้อ เนื้อหา ปัจจัย หรือ ผลที่เกิดได้
นอกจากนี้ภาพยังช่วยให้จำความเชื่อมโยง
ระหว่างเนื้อหาได้อีกด้วย!
.
Tips
แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีการสอนแบบไหน
หลักการหนึ่งที่สำคัญในการอธิบายความรู้
คือการคิดถึงมุมผู้ฟังให้มากขึ้น
.
ในหนึ่งระดับชั้นหรือหนึ่งห้อง
ระดับความรู้ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน
อาจลองทบทวนตัวเองระหว่างการสอนว่า
ตอนนี้เด็กมีความเข้าใจเรื่องที่กำลังเรียนอยู่ในระดับไหน
จบคาบนี้ หัวข้อนี้ เด็กๆ ควรอธิบายจุดไหนได้
.
ลองสังเกตปฏิกิริยาเด็กๆ ระหว่างสอน
ว่ามีช่องว่างทางความเข้าใจตรงไหนที่ครูเติมได้บ้าง
เชื่อมโยงเรื่องที่สอนเข้ากับตัวอย่างในชีวิตจริง
เพื่อให้นักเรียนเข้าใจสารที่ครูตั้งใจส่งไปให้ถึง
มาร่วมแบ่งปันคลิปสอนวิทยาศาสตร์ที่เล่าเรื่องยากให้เข้าใจง่าย กับภารกิจพิเศษสุดท้าทายจาก
"โครงการวิทย์ยายุทธ" ได้ที่
>> http://bit.ly/insKru_ร่วมแชร์วิทย์ยายุทธ
อย่าลืมติดแท็ก “คลิปสอนวิทย์ยายุทธ” ด้วยนะ
ตั้งแต่วันนี้ - 11 กรกฎาคม 2564
.
รายละเอียดโครงการ“วิทย์ยายุทธ”และวิธีสมัครเข้าร่วม - insKru
รายละเอียดภารกิจ"ตามหาคลิปสอนวิทย์ฯ"และวิธีส่งคลิป - insKru
ของรางวัลมากมายรอคุณอยู่
.
.
Reference:
https://www.interboosters.com/.../%E0%B9%80%E0%B8%A3-%E0...
https://www.edutopia.org/art.../8-quick-checks-understanding
แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru
เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย
ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!