inskru
gift-close

สำคัญกว่าให้คะแนน คือให้โอกาสเรียนรู้ (Ted Talk)

0
0
ภาพประกอบไอเดีย สำคัญกว่าให้คะแนน คือให้โอกาสเรียนรู้ (Ted Talk)

คลิปนี้เป็นเรื่องเล่าของกลุ่มครูและนักเรียนที่ร่วมกัน "โหวตยกเลิกการสอบ" ด้วยคำถามที่ว่า “ทำไมเส้นทางการเรียนรู้ของเด็กคนหนึ่งและเส้นทางการเป็นครูของครูคนหนึ่ง ถึงต้องถูกตัดสินด้วยการประเมินวัดผลและคะแนน?” เรื่องราวจะเป็นยังไง ส่งผลอะไร แล้วทำไมคุณครูถึงตัดสินใจทำแบบนั้น เราลองสรุปประเด็นมาค่า :--)

ทำไมเส้นทางการเรียนรู้ของเด็กคนหนึ่ง และเส้นทางการเป็นครูของครูคนหนึ่ง
ถึงต้องถูกตัดสินด้วยการประเมินวัดผลและคะแนนด้วย?

.

นี่เป็นคำถามที่คุณ Jesse Hagopian คุณครูในรัฐ Seattle ตั้งคำถามกับระบบการสอบ Map Test*

(การสอบเพื่อวัดความรู้นักเรียนโดยใช้ระบบ computer adaptive คือระบบจะเลือกคำถามให้ตรงกับระดับความรู้นักเรียน เป็นการสอบที่เด็ก ๆ ต้องสอบ 2-3 ครั้งต่อปีการศึกษา เพื่อวัด "ความเติบโตทางวิชาการ")

จะเกิดอะไรขึ้นกันนะ เมื่อครูและเด็กๆ ร่วมมือกัน “โหวตยกเลิกการสอบ”!

.

🌷ครู Jesse คุณครูสอนสังคมศึกษาในโรงเรียนแห่งหนึ่งในรัฐ Seattle เล่าให้ฟังว่า

ตอนเด็กๆ เวลาที่ครู Jesse ไปรับผลคะแนนจากครู พร้อมกับคุณแม่ เขามักอยากจะหนีทุกที

เพราะคุณครูมักจะบอกแม่เขาว่า คะแนนของเขานั้นอยู่ “ต่ำกว่าเกณฑ์”

(น่าจะคล้ายกับเด็กๆ หลายๆคนที่ต้องเจอเพราะความกดดันเรื่องคะแนนจากระบบการสอบ)


แต่เมื่อครู Jesse โตขึ้น เรียนมหาวิทยาลัย เขากลับอยากย้อนไปบอกตัวเองตอนเด็กว่า

อย่าเครียดหรืออย่ากลัวไปเลยว่าตัวเองไม่มีความสามารถ “ถึงเกณฑ์”

เพราะจริงๆ แล้ว อาจไม่มีเด็กที่ “คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์” หรือ “ความสามารถต่ำกว่าเกณฑ์”

เพียงแต่เด็กบางคนอาจมีกระบวนการการเรียนรู้ หรือทำความเข้าใจ

ได้ “ช้ากว่าเกณฑ์การวัดผลด้วยการสอบและถูกตัดสินด้วยคะแนน”

เมื่อครู Jesse เข้ามหาวิทยาลัยเขากลับค้นพบว่า

ที่จริงแล้วเขามีทักษะการสื่อสารไอเดียตัวเองออกมาได้อย่างชัดเจน

ซึ่งจำเป็นสำหรับการนำเสนองานและการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมอื่นๆ ที่เขาทำ

ซึ่งทักษะเหล่านั้น อาจะไม่สามรถวัดได้ด้วยข้อสอบปรนัยหลายตัวเลือก

และเขาใช้เวลานานกว่าที่จะเข้าใจว่า จริงๆ แล้วทักษะเหล่านั้นมีคุณค่ามาก

(แม้อาจไม่ได้มีคุณค่าในสายตาหลักสูตรโรงเรียน หรือ การสอบวัดระดับต่างๆ ก็ตาม)

เช่นเดียวกันกับเด็กๆ ทุกคนที่มีทักษะที่เฉพาะตัว เพียงแต่ทักษะบางอัน

อาจะไม่ได้อยู่ในหลักสูตร หรืออาจไม่ได้ถูกวัดได้ด้วยการสอบในโรงเรียน

ทั้งๆ ที่เป็นทักษะที่สำคัญและควรสนับสนุนเด็กๆ


พอเรียนจบมหาลัย เขาเลยตัดสินใจมาทำงานด้านการศึกษาด้วยการเป็นครู


วันหนึ่งเพื่อนร่วมงานของครู Jesse บอกเขาว่า เธอจะ “ไม่จัดการให้มีการสอบ Map Test*”

(การสอบเพื่อตัดสินทักษะทางคณิตศาสตร์เด็กและเพื่อประเมินครู เป็นการสอบที่ดูเหมือนจะต่างจากการสอบวัดเกรดทั่วไป เพราะว่าเป็นการสอบผ่านระบบ computer adaptive ที่เมื่อเด็กตอบคำถามหนึ่งถูก

ระบบจะเด้งคำถามที่ยากขึ้นมาให้ และเมื่อตอบผิดระบบจะเด้งคำถามที่ง่ายลงให้

เป็นการสอบที่เด็ก ๆ ต้องสอบ 2-3 ครั้งต่อปีการศึกษา เพื่อวัด "ความเติบโตทางวิชาการ")


ระบบนี้ว่ากันว่าจะเป็นการช่วยให้ครูได้ดูแลการเรียนรู้ของเด็กๆ ได้ตรงจุดมากขึ้น 

แต่ครู Jesse ไม่ได้มองแบบนั้น เขามองว่าแม้เราจะเปลี่ยนรูปแบบ “การสอบ” 

จากดินสอ-กระดาษ มาเป็นการใช้ระบบ computer adaptive แล้วก็ตาม

แต่เราจะเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าเป็น “พัฒนาการทางการศึกษา” ได้จริงหรือ?

ในเมื่อสิ่งที่เปลี่ยนไปคือแค่เครื่องมือหรือระบบที่ใช้ 

ไม่ใช่วิธีการคิดในการวัดผลการเรียนรู้ของเด็ก (ที่สุดท้ายก็ใช้วิธีตัดสินอยู่ดี)

สิ่งที่สำคัญไปกว่าคะแนน คือการให้โอกาสเรียนรู้ต่างหาก


🌷ครู Jesse และเพื่อนที่เสนอไอเดียเริ่ม “จัดการโหวตนิรนามในโรงเรียน” ที่จะ "ยกเลิกการสอบ" นี้

โดยการให้เหตุผลต่างๆ เช่น เด็ก ๆ มีการสอบวัดประเมินอยู่แล้ว, ข้อสอบเป็นภาษาอังกฤษ ในขณะที่เด็กๆ ในโรงเรียนมีความหลากหลายในการใช้ภาษาอังกฤษมี คนที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่อาจได้เปรียบด้านภาษามากกว่า ฯลฯ


แต่แน่นอนว่าการโหวตยกเลิกการสอบย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย 

ทางเขตไม่ได้รับฟังความกังวลเรื่องนี้ของพวกเขาเลย 

แถมศึกษาธิการยังขู่พักงานครูที่ลงชื่อโหวตเป็นเวลา 10 วันอีกด้วย!


ในขณะที่เราคิดว่าเรื่องนี้จะจบลงด้วยการประท้วง (ฮา) ครู Jesse ก็เล่าต่อว่า

ผลปรากฎว่าทั้งโรงเรียนไม่ได้มีใครกลัว ทั้งกลุ่มครูและเด็กร่วมกันลงโหวตยกเลิกการสอบด้วยกัน

(รวมทั้งมีโหวตนิรนามจากสภานักเรียนด้วย!) 

หลังจากที่ข่าวการโหวตยกเลิกการสอบของโรงเรียนครู Jesse และเพื่อนครูได้ถึงหูคนในรัฐอื่นๆ

ก็ได้การสนับสนุนจากคนในรัฐอื่นๆ ที่มาร่วมแสดงจุดยืนยกเลิกการสอบนี้ด้วย


ตอนจบเทอมกลายเป็นว่าศึกษาธิการของรัฐ Seattle 

ที่ขู่จะพักงานครูที่ออกมาร่วมลงชื่อ 10 วัน ในที่สุดก็ยอมยกเลิกการสอบ Map Test ไป


สิ่งที่น่าทึ่งคือผลการร่วมมือกันโหวตของครูและนักเรียนไปไกลกว่านั้น

มันไม่ได้หยุดแค่ที่รัฐ Seattle แต่กลายเป็นมีเสียงโหวตจากครูรัฐอื่นๆ ทั่วประเทศด้วย 

เด็กๆ ก็เดินออกจากห้องสอบนี้ ครูเองก็เริ่มออกมาปฏิเสธการจัดการสอบนี้ด้วยเช่นกัน

แม้แต่ผู้ปกครองเองก็พาลูกๆ ตัวเองออกจากการสอบแบบนี้ด้วย!


🤔 ครู Jesse ถามว่า “เรากำลังสู้กับใครล่ะ ในเรื่องนี้?”

ครู Jesse เรียกมันว่า “ระบอบสอบธิปไตย (Testrocracy)” 

ที่มักอ้างว่า การจัดการสอบจะช่วยการันตีคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนรัฐบาล

ให้มีมาตรฐานเดียวกัน อันจะนำมาซึ่งความเท่าเทียมด้านการศึกษาได้ 

แต่การสอบเป็นทางออกในการเพิ่มความน่าเชื่อถือของการวัดผลที่มีประสิทธิผลที่สุดจริงหรือ?


การจัดสอบแบบนี้ในอเมริกา มีบริษัทที่ได้กำไรจากการจัดการสอบ การติว

มากเป็นล้านๆ ดอลล่าร์ แบบนี้การสอบยังนำพามาซึ่งมาตรฐานที่เท่าเทียมอยู่หรือ

ในเมื่อการติวสอบต่างๆ ก็เริ่มต้นด้วยความไม่เท่าเทียมเสียแล้ว

รวมถึงนโยบายการสอบต่างๆ ทำให้เด็กอเมริกัน 1 คน 

ตั้งแต่อนุบาลถึงมหาลัย ต้องเจอกการสอบ 112 ครั้งเป็นอย่างน้อย 

ต้องใช้เวลาในการสอบวัดผล (และถูกตัดสินซ้ำไปซ้ำมา) 

ยังไม่นับรวมเวลาการท่องจำ เตรียมสอบอีกมากมายที่เสียไป

แทนที่จะได้เอาไปพัฒนาการเรียนรู้


🤔 การสอบกลายจึงเป็นเรื่องที่ “มีความเสี่ยงสูง” (high stakes assessment) 

เพราะการที่เด็กคนหนึ่งจะเรียนจบหรือผ่านชั้นเรียน 

มันอาจขึ้นอยู่กับคะแนนจากการสอบครั้งๆหนึ่ง ๆ 

หรืออาจจะแค่ หนึ่งคะแนน เพียงเท่านั้น


อาชีพครูเองก็เช่นกัน

วิชาชีพครูจะเป็นอย่างไรต่อไป กลับถูกตัดสินด้วยคะแนนและการประเมิน 


โรงเรียนหนึ่งอาจถูกปิดได้ ก็เพราะคะแนนเฉลี่ยรวม “ไม่ถึงเกณฑ์”


แบบนี้มันใช่แล้วหรือ?


ทั้งที่เราไม่ควรลดทอนกระบวนการสอนและการเรียนรู้ให้เหลือเพียงแค่หลักฐานที่เป็นตัวเลข


🤔 แล้วถ้าไม่มีการสอบ เราจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าเด็กเรียนรู้ มีทางเลือกอื่นไหม?

ทางเลือกอื่นที่ว่าก็คือ Authentic Assessment หรือ การประเมินที่มุ่งเน้นการพัฒนาและดูแลเด็กๆ

เพื่อให้เขามีความสามารถในการจัดการกับปัญหาที่เขาต้องเจอจริงๆ

และช่วยให้นักการศึกษาได้เข้าใจว่า พวกเขารู้อะไรมากน้อยแค่ไหน

ไม่ใช่ใช้คะแนนเพื่อเป็นการ “ลงโทษ[หรือตัดสิน]*” 


กลับกลายเป็นว่าโรงเรียนหนึ่งใน New York ที่ใช้การวัดผลแบบนี้

เป็นโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จในการที่จะส่งต่อนักเรียนเข้าสู่มหาลัยหรือการศึกษาขั้นที่สูงต่อไปได้

ต่างจากข้ออ้างของ “ระบอบสอบธิปไตย (Testocracy)” ที่บอกว่าโรงเรียนที่วัดผลด้วยการสอบ

จะช่วยการันตีการเรียนรู้ของเด็กได้


เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ในการแก้ปัญหาที่มีความเสี่ยงสูงที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนจริงๆ

อย่างเช่นเรื่องภาวะโลกร้อน เราไม่สามารถตอบหรือแก้ได้ด้วยตัวเลือก ก ข ค ง อย่างในข้อสอบ

แต่ต้องมาจากการสอนเรื่อง Critical Thinking และการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์

ให้เด็กๆ สามารถมองทะลุได้ไกลกว่าการเลือกคำตอบที่ถูกที่สุด (หรือผิดน้อยที่สุด)

เพราะปัญหาในโลกจริงนั้น ต้องมองเห็นความเชื่อมโยง ที่มาที่ไป

และต้องอาศัยการคิดวิเคราะห์และจินตนาการถึงความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหาใหม่ๆ


การวัดผลที่ให้คนอื่นๆ มาร่วมแลกเปลี่ยน ร่วมต่อยอด ให้เด็กได้ฝึกคิดอธิบายด้วยเหตุผล

รวมถึงนำ feedback ที่เขาได้มาปรับปรุงงานของเขาให้ดีได้เรื่อยๆ อาจเป็นหนทางในการสร้างคน

ที่จะแบกรับอนาคตโลกของเรา ให้เป็นคนที่คิดเป็น แก้ปัญหาได้จริง

ไม่ใช่วิธีวัดผลแบบที่คนจะถูกตัดสินให้จบในครั้งเดียวเมื่อกริ่งเวลาดังว่าหมดเวลาสอบแล้ว


พอดูมาถึงจุดนี้ เราเองก็คิดเหมือนกันว่าระบบการศึกษาในอเมริกาและไทย

อาจมีความแตกต่างในการเสนอความคิดเห็น หรือการโหวต 

ด้วยระบบวัฒนธรรมและอำนาจในระบบการศึกษา


เราเองก็ไม่แน่ใจว่าถ้าหากใช้วิธีการรวมเสียงโหวตการยกเลิกการสอบแบบนี้

จะสามารถสร้างกระแสและปลุกให้ทุกคนลุกขึ้นมาร่วมโหวตด้วยได้หรือไม่

แล้วสุดท้ายจะสามารถเรียกร้องให้มีการยกเลิกได้แบบที่อเมริกาหรือไม่


แต่สิ่งหนึ่งที่เราเห็นเหมือนกัน (หรือมีความหวังว่าอย่างนั้น)

คือ เราเห็นคนที่อยากเปลี่ยนแปลง และลุกขึ้นมา “ลอง” หาแนวร่วม

ลองหาวิธีในการผลักดันให้ยกเลิกการสอบและเปลี่ยนวิธีวัดผล

เราก็ยังเชื่อว่าน่าจะยังมีทางในการร่วมกันผลักดันในแบบของเรา

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เรายังเชื่อว่าเสียงของทุกคนเมื่อรวมกัน

มันจะดังมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงได้🤍


บทความนี้มาจากคลิป More than a Score: giving students a solid chance by Jesse Hagopian; "สำคัญมากกว่าให้คะแนน คือให้โอกาสในการเรียนรู้" ดูคลิปเต็มๆ ได้เลยที่:

👉 https://www.youtube.com/watch?v=gL64chNiuJQ

ถ้าคุณครูคนไหนอ่านหรือดูคลิปจบแล้ว เห็นด้วยหรือไม่อย่างไร

หรือว่ามีจุดไหนเพิ่มเติมหรือทางเราทำตกหล่นไป มาแชร์กันได้เลยนะคะ :--)

ไอเดียนี้เป็นไงบ้าง?

0
ได้แรงบันดาลใจ
0
ลงไอเดียอีกน้า~
แบ่งปันโดย
insContent_kp
ทีม insContent จาก insKru อยากให้ทุกคนได้เจอวิธีที่ตัวเองชอบเรียนรู้และสนุกกับการได้เรียนสิ่งที่อยากเรียนโดยไม่ต้องมีขอบเขตแค่รั้วโรงเรียนหรืออายุ :-)

อยากร่วมแลกเปลี่ยน?

please login

แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru

เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย

icon-please-commentมาเป็นคนแรกที่แลกเปลี่ยนสิ!

ไอเดียน่าอ่านต่อ