ถ้าห้องเรียนของคุณครูเริ่มต้นจาก “ความรู้สึก”
คุณครูอยากออกแบบให้มันเริ่มต้นจากความรู้สึกแบบไหน…
“ชอบ”
คือคำตอบที่เรียบง่ายของคุณครู วราภรณ์ ยศธสาร คุณครูภาษาอังกฤษ
และหัวหน้าฝ่ายวิชาการ ผู้ออกแบบ “ความชอบ” เติบโตควบคู่กับการพัฒนา
ทางทักษะการใช้ภาษาของนักเรียน ตั้งแต่ระดับชั้นประถมปลาย จนถึงมัธยมต้น
ณ โรงเรียนบ้านโนนสวรรค์ อำเภอเอราวัณ จังหวัดเลย โรงเรียนขยายโอกาส
ที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเลยกว่า 60 กิโลเมตร
คุณครูวราภรณ์เล่าให้ฟังว่าวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่เป็นชุมชนเกษตรกรรม
ซึ่งยังคงมีความผูกพันธ์อยู่กับวัฒนธรรมท้องถิ่นดั้งเดิม อาทิ
การฟ้อน การรำ การร้อง ซึ่งเมื่อที่บ้านของนักเรียนใช้ชีวิตอยู่
ท่ามกลางวิถีเหล่านี้ เด็กที่เติบโตมาในชุมชนดังกล่าวก็ได้รับการปลูกฝัง
และซึมซับ และรู้สึกมีส่วนร่วมกับวัฒนธรรมท้องถิ่นเหล่านี้ด้วยเช่นเดียวกัน
ในทางกลับกัน ในช่วงเทอมแรกที่ครูวราภรณ์เข้าไปสอน ก็ได้พบกับความจริงที่ว่า
นักเรียนรู้ “เป็นลบ” ต่อภาษาอังกฤษ โดยรู้สึกว่าเป็นวิชาที่ยาก
และการวัดผลที่มีในตอนนั้นก็ตอกย้ำว่าพวกเขาไม่เก่ง
ทำให้เกิดเป็นก้อนความ “ไม่ชอบภาษาอังกฤษ” ขึ้นในใจของพวกเขา
กอปรกับที่วิถีชีวิตของพวกเขาก็ไม่ได้มีจุดที่จำเป็นต้อง speak English
ในชีวิตประจำวัน
นักเรียนส่วนหนึ่งจึงเลือกที่จะไม่เข้าเรียนวิชานี้ไปเสียดื้อ ๆ
เป้าหมายของพี่ในเทอมแรกจึงเรียบง่าย แต่ก็ต้องอาศัยความทุ่มเทมาก ๆ
คือการทำให้นักเรียน “ชอบภาษาก่อน” โดยความเก่งสามารถจัดอยู่ใน
ความสำคัญลำดับถัดไปได้ ส่วนหากกล่าวถึงเป้าหมายนี้ในมุมที่เป็นรูปธรรม
มากขึ้นคือการทำให้นักเรียน “เลิกโดดเรียน” ให้ได้
ในมุมของวิชาการ คุณครูวราภรณ์เริ่มต้นการสร้างความชอบ
ผ่านการทำความรู้จักกับสิ่งที่นักเรียนชอบอยู่แล้วก่อน
และสอดผสานโอกาสในการฝึกฝนภาษาอังกฤษลงไปในสิ่งเหล่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อพบว่านักเรียนชอบร้องรำทำเพลง คุณครูวราภรณ์
ก็แต่งเพลงทำนองสรภัญญะภาษาอังกฤษเพื่อให้นักเรียนได้ฝึกการออกเสียง
พร้อมกับความรู้สึกที่ว่า ภาษาอังกฤษไม่ได้จำเป็นต้องมาคู่กับความเคร่งเครียด
และการท่องจำที่จืดชืดเสมอไป
(ชมตัวอย่างคลิปทำนองสรภัญญะภาษาอังกฤษ โดยนักเรียน
โรงเรียนบ้านโนนสวรรค์ได้ที่ youtube.com/watch?v=hMfTUiFmiOY)
และในทุก ๆ คาบที่ก้าวเข้าไปสอน คุณครูวราภรณ์เชื่อว่า
“การกระตุ้นความสนใจของนักเรียนมาเป็นอันดับหนึ่ง” โดยมันไม่โอเคเลย
ถ้าเราจะเดินเข้าไปแล้วเริ่มเทความรู้ใส่นักเรียน โดยที่ไม่ได้สร้างความอยากรู้
ตื่นตัว และสนใจต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นให้กับพวกเขาก่อน โดยเราสามารถนำ
Game-based Learning มาใช้ได้ในส่วนนี้ ผ่านการออกแบบการเล่นของนักเรียน
ในช่วงนำเข้าสู่บทเรียน มองเผิน ๆ อาจจะเป็นการเล่นเพื่อความเพลิดเพลิน
แต่ในการเล่นนั้นจะเต็มไปด้วยเนื้อหาที่เราสอดแทรกไว้
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งปี นักเรียนของคุณครูวราภรณ์
ไม่โดดเรียนแล้ว และเข้าเรียนด้วยความรู้สึกตื่นเต้นว่าคาบนี้คุณครู
จะออกแบบอะไรมาให้พวกเขาได้เล่น
เมื่อนักเรียนเข้าเรียนด้วยใจที่พร้อมเปิดเข้าหาวิชาภาษาอังกฤษแล้ว
คุณครูวราภรณ์ใช้การสอนแบบ Communicative Approach
ซึ่งเป็นการสอนโดยใช้ภาษาอังกฤษในห้องเรียนเป็นหลัก โดยสิ่งที่ทำให้วิธีนี้เป็นไปได้
คือการ “ค่อย ๆ ปรับระดับ” กล่าวคืออาจจะเริ่มต้นจากการใช้ภาษาอังกฤษ 50%
ก่อน หลังจากนั้น เมื่อนักเรียนพร้อม เราก็ค่อย ๆ ปรับขึ้นมาเป็น 60 - 70%
หรืออย่างในระดับชั้นมัธยมก็จะพยายามให้ไม่น้อยบกว่า 90%
โดยเป็นการสอนตามธรรมชาติวิชา คือจากง่าย ไปหายาก ควบคุมกับ
การทำอย่างสม่ำเสมอ
“มันใช้เวลานะ ใช้การทำซ้ำ แต่พอมันกลายเป็นความปรกติหนึ่งของชีวิต
ของนักเรียน พวกเขาก็จะสามารถทำมันได้มากขึ้น” คุณครูวราภรณ์กล่าว
และเมื่อพูดถึงการ “ทำได้” ของนักเรียนนั้น คุณครูวราภรณ์เล่าว่า
เป้าหมายของคุณครูไม่ใช่การสอบ O-NET ซึ่งถ้านักเรียนทำได้ดี ก็ถือเป็นผลพลอยได้
แต่เป้าหมายหลักจริง ๆ คือ “การให้นักเรียนสามารถใช้ภาษาได้ในยามที่จำเป็น
เช่น เห็นป้ายบอกทางสามารถอ่านได้ และเมื่อมีคนเข้ามาพูดคุยด้วย สามารถ
โต้ตอบได้ด้วยความมั่นใจ” ที่โรงเรียนบ้านโนนสวรรค์จึงได้กลายเป็นหนึ่งในโรงเรียน
ที่การ “พาเพื่อนพูดภาษาอังกฤษ” หน้าเสาธงของนักเรียน กลายเป็นเรื่องปกติ
ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในช่วงสัปดาห์วิชาการ หรือในงานประกวดแข่งขัน
เมื่อถามถึงที่มาของการมาเจอกันระหว่าง “ความชอบ” และ “ภาษาอังกฤษ”
ครูวราภรณ์เล่าถึงเรื่องราวในอดีตที่ส่งผลมาจนถึงปัจจุบันว่า
“สำหรับพี่เอง พี่เริ่มเรียนภาษาอังกฤษจากความชอบนะ
พี่ถึงให้ความสำคัญกับความรู้สึกที่ดีของนักเรียนต่อการเข้ามาเรียนวิชาภาษาอังกฤษ
สำหรับพี่มันเริ่มจากตอนที่เรียน ม.ปลาย แล้วได้พบกับครูท่านหนึ่ง
ซึ่งในห้องเรียนท่านมีแต่คำพูดที่ให้กำลังใจเด็กนักเรียน
และสะท้อนถึงมุมมองที่มองโลกในแง่บวกอยู่เสมอ
และครูท่านนั้นก็เป็นแรงบันดาลใจให้พี่เรียนครูต่อ
พอเรียนเพื่อเป็นครู พี่ก็รู้สึกนะว่าวิชานี้มันยาก แต่พอเราเริ่มต้นด้วยความชอบ
แม้ในช่วงที่มันยาก เราก็ยังคงมองเห็นความสวยงามของมัน
สุดท้ายความชอบ และเส้นทางที่ได้เจอครูที่สร้างแรงบันดาลใจให้
ก็ทำให้เราสามารถเข้าสอบแข่งขัน และได้ลำดับที่ 1 จาก 700 กว่าคน
ที่เข้าสอบในรอบเดียวกันในเขตจังหวัดเลย
พี่เชื่อเรื่องการมีเป้าหมายในชีวิต และพี่เองได้เดินตามเป้าหมายนั้นด้วยแรงส่งใจ
ที่ดี และเราเลือกที่จะมองเห็นแง่งามต่าง ๆ บนเส้นทางที่เรากำลังเดินไปยังเป้าหมายนั้นด้วย
สุดท้ายแล้วเราจะเจอทั้งสิ่งที่เลวร้าย และสิ่งที่ดีงาม โดยที่เรามีพลังพอที่จะเลือกได้
ว่าจะอนุญาตให้แรงแบบไหนมาผลักดันเรา”
ในช่วงสุดท้ายของการพูดคุย
เมื่อถามถึงไอเดียหรือแนวคิดที่คุณครูครูวราภรณ์อยากฝากถึงคุณครูภาษาอังกฤษทุก ๆ ท่าน
คุณครูวราภรณ์เสนอว่า
“ถ้าเราอยากให้เขาเก่งภาษาอังกฤษ อย่าเพิ่งไปรีบสอน อยากให้เขาเก่ง ต้องพาเขาเล่นก่อน
ครูบางท่านอาจจะติดใจร้อน อยากจะรีบสอน เวลารีบกินแกงร้อน ๆ จนมันลวกปาก
มันไม่อร่อยหรอก สอนให้เขารักภาษาอังกฤษก่อน แล้วค่อยสอนให้เขาเก่งภาษาอังกฤษ”