.
เราเชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยคิดหรือเคยได้ยินคำถามสุดคลาสสิคของครูภาษาอังกฤษกันมาบ้างในชีวิตนักเรียนไทย หรือจนกระทั่งมาเป็นคุณครูเอง เราเชื่อว่าครูไทยเก่ง มีเทคนิคและความคิดสร้างสรรค์ที่แพรวพราว เราเลยอยากชวนครูไทยมาทำให้การสอนของครูได้ผลขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการมาลองอ่านและแลกเปลี่ยน มุมมอง วิธีคิด และเทคนิคการสอนจากคุณครู Kai Lor (ไค ลอร์) ครูชาวสิงคโปร์ ผู้ช่วยเลขาธิการสหภาพครูสิงคโปร์และอดีตหัวหน้าฝ่ายการสอนวรรณกรรมและภาษาอังกฤษ ที่จะมาชวนคุณครูพาเด็กเรียนด้วยการ “แหกกฎแกรมม่า” และ “ลืมสิ่งที่เคยรู้มา (แบบผิดๆ)” กัน!
.
Consideration for the English Language Teacher คือ ปัจจัย (factors) และลำดับความสำคัญ (priorities) ที่ครูสอนภาษาอังกฤษควรนำมาคิดในกระบวนการออกแบบการเรียนรู้
โดยครู Kai เล่าให้ฟัง 2 ข้อหลักๆ นั่นก็คือ “แกรมม่าไม่ใช่กฏตายตัว” และ “การกระตุ้นความรู้เดิมเพื่อให้เด็กเติมเต็มความรู้ใหม่”
.
จริงอยู่ที่เวลาสอนภาษาอังกฤษ เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสอนแกรมม่าได้เลย เพราะแกรมม่าเป็นเหมือน “กฎและข้อยกเว้นของภาษา” ที่จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจและใช้ตามได้ง่ายขึ้น ครู Kai มองว่าการเรียนแกรมม่ามีประโยชน์นะ เพียงแต่เราต้องเข้าใจว่า “ภาษาเป็นสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ” ขึ้นอยู่กับบริบทที่ใช้
.
อย่างเช่น เราเคยรู้มาว่า ภาษาอังกฤษจะไม่จบประโยคด้วยคำบุพบท (preposition) แต่ลองเปรียบเทียบสองประโยคนี้ดูกัน
เห็นอะไรแปลกๆ ไหม?
จะเห็นว่าในภาษาจริงๆ เราจะใช้ประโยคแรก (ที่จบประโยคด้วยบุพบท) กัน ส่วนประโยคที่สอง แม้สื่อความได้ แต่ประโยคจะฟังดูขาดๆ แปลกๆ ไปจากปกติ
.
หรืออย่างที่เราเคยเรียนกันมาว่า ประโยคภาษาอังกฤษต้องเรียงด้วย
Subject (ประธาน) + Verb (กริยา) + Object (กรรม)
แต่สมมติเวลามีคนถามเราว่า “What did you have for lunch?” เราก็ตอบได้ทั้ง
.
การเรียนการสอนที่ให้เด็กๆ ยึดติดกับแกรมม่ามากไป บางทีอาจจะทำให้เขาใช้กฎของภาษาปิดหู ปิดตาตัวเอง
ทำให้อาจพลาดการเจอธรรมชาติความลื่นไหลของภาษา ที่เขาอาจได้ยิน ได้ฟัง ในบริบทที่ต่างออกไปจากหนังสือเรียน
.
ครู Kai เสนอว่าเราควรลองสอนให้เด็กๆ รู้ว่า มีตอนไหนบ้าง เหตุผลไหนบ้างที่เราไม่ต้องใช้ภาษาตามแกรมม่าก็ได้ (Knowing WHEN/HOW and WHY to break grammar rules) โดยการให้เด็กๆ ได้เห็นประโยคตัวอย่างต่างบริบทกันเยอะๆ
.
เราอาจจะเริ่มสอนให้เด็กรู้ก่อนว่า การสื่อสารภาษามี 3 มิติหลัก นั่นก็คือ จุดประสงค์ คนฟัง และบริบท
ถ้าเราคิดถึงสามสิ่งนี้ในการสื่อสาร ภาษาของเราก็จะออกมามีเป็นธรรมชาติมากขึ้น
มาลองดูตัวอย่างประโยคยอดฮิตยืนหนึ่งอย่าง “Marry me.” (แต่งงานกับฉันนะ) กัน!
วลียืนหนึ่งพื้นฐานนี้บอก “จุดประสงค์” ครบ จบ ในสามพยางค์ว่า อยากขอเขาแต่งงานนะ
แต่ถ้าเราอยากทำให้คนที่เราขอแต่งงานประทับใจขึ้นไปอีกขั้นล่ะ? เราอาจพูดอะไรที่ใส่ใจรายละเอียดคนฟังขึ้นมาอีกนิดอย่างเช่น:
จะเห็นว่าทีนี้เราเพิ่มแง่มุม “คนฟัง” เข้าไปด้วย บอกคนฟังด้วยว่าเขาสำคัญยังไงกับเรา เพราะ You complete me. นะ เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เราขอเขาแต่งงาน
หรือจะไปให้ลึกขึ้นอีกขั้น!
พออ่านประโยคนี้แล้ว เราจะรู้ “บริบท” ของคนพูดมากขึ้นว่า รู้จักกับคนรักมาหลายปีแล้ว นอกจากนี้คำว่า “I decided” อาจยังแฝงบริบท Feminism ไปด้วย เช่นถ้าคนพูดเป็น “ผู้หญิง” หรือเพศอื่นๆ ที่สังคมกดทับให้มีอำนาจน้อยกว่าผู้ชาย ประโยคนี้จะสื่อถึงสิทธิในการเลือกและตัดสินใจในความสัมพันธ์อย่างเท่าเทียมกับผู้ชายหรือ him ในท้ายประโยคคนนั้นอีกด้วย
.
.
จะเห็นว่าความหมายหรือจุดมุ่งหมายของสามประโยคนี้ในการสื่อสารแทบไม่ได้ต่างกันมาก แต่พอเราเพิ่มมิติของภาษาลงไป คำพูดกลับมีความธรรมชาติมากขึ้น เมื่อเราสอนเด็กให้รู้จักว่า จะปรับภาษาเมื่อไหร่ ปรับยังไง เขาจะใช้ภาษาได้มีประสิทธิภาพขึ้น
.
.
ก่อนที่จะสอนอะไรใหม่ไป ไม่ว่าจะเป็นคำศัพท์หรือการอ่าน ครู Kai แนะนำว่าเราควร กระตุ้น/เช็ค ความรู้หรือการรับรู้เบื้องต้น (Prior knowledge) ของเด็กๆ ก่อน ว่าเข้าใจถูกไหม เข้าใจว่าอะไร
.
ถ้าเราไม่กระตุ้นหรือเช็ค อาจเกิดเรื่องแบบในห้องเรียนครู Kai ได้…
เมื่อ 5 ปีก่อน ครู Kai เคยสอนเด็กม. 4 โดยให้อ่านเนื้อความภาษาอังกฤษเกี่ยวกับเรื่อง “การก่อตัวของไอออนโลหะ” ในเนื้อความนั้นมีคำศัพท์แปลกๆ คำหนึ่งคือ “pig iron” ที่แปลว่า โลหะที่ด้อยคุณภาพ ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่แปลไม่ตรงตัว (ถ้าแปลตรงตัวคงเป็น เตารีดหมู หรือ เหล็กหมูแหงๆ) ครู Kai เลยทำการกระตุ้นและเช็คความรู้เดิมเด็กๆ ก่อนสอน โดยการ ให้เด็กๆ ลองวาดรูปขึ้นมาว่า เห็นคำว่า pig iron แล้วนึกถึงอะไร ปรากฏว่านักเรียน 40 คน เกือบทุกคนในห้องวาด หมู + เตารีด กันเกือบหมด! (insKru ก็เพิ่งรู้วันนี้เหมือนกัน ;--)
.
ตัวอย่างเทคนิคการสอน Reading แบบครู Kai
ครู Kai บอกว่า การอ่านมีสองวิธีการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นพร้อมกันในการอ่านและจำเป็นทั้งคู่
แบบแรกคือ Bottom-up คือ การอ่านทำความเข้าใจจากตัวหนังสือ การประมวลผลคำ
กับแบบที่สองคือ Top-down คือ การอ่านทำความเข้าใจนอกเหนือตัวหนังสือ เข้าใจความหมายจากความรู้เดิมหรือบริบท เช่น วัฒนธรรม ภาษา ฯลฯ
อย่างเช่น จะให้เด็กๆ อ่านเรื่อง “Singapore is a green city.”
ก่อนอ่าน Know: เด็กๆ รู้อะไรอยู่แล้วบ้างเกี่ยวกับสิงคโปร์ เขียนออกมา
ก่อนอ่าน Wanted to know: เด็กๆ อยากรู้อะไรเกี่ยวกับสิงคโปร์เพิ่มจากสิ่งที่อ่าน
หลังอ่าน Learned เด็กๆ ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มบ้าง หลังอ่านจบ
พอเราทำแบบนี้ เด็กๆ จะได้เปรียบเทียบและเชื่อมโยงความเข้าใจก่อนอ่าน ก่อนเรียน กับสิ่งที่เขาได้เข้าใจใหม่ (relearn) จากการอ่านครั้งนี้ อะไรที่เขาเข้าใจถูกแล้ว มีมุมมองอื่น ความหมายอื่นเพิ่มไหม อันไหนที่เข้าใจผิดจริงๆ แล้วมันคืออะไร
.
ครู Kai เรียกการเรียนแบบนี้ว่า Metacognitive (อภิปัญญา) คือ การคิดเกี่ยวกับกระบวนการคิดของเรา เช่น ไม่ใช่แค่สอนแกรมม่า คำศัพท์ภาษาอังกฤษ แต่เราได้ให้เด็กๆ ลองคิด ว่าเขา “คิดอย่างไรกับตัวภาษาอังกฤษเอง” ผ่านการตั้งคำถามก่อนเรียน
.
ไม่ว่าจะสอนภาษาอังกฤษเด็กเล็กหรือเด็กโต การกระตุ้น/เช็ค ความรู้หรือการรับรู้เบื้องต้น จะเป็นโอกาสให้คุณครูได้เห็นว่า เด็กๆ เข้าใจภาษาว่ายังไง เข้าใจถูกความหมาย ผิดความหมาย ใกล้เคียงไหมยังไง เพื่อที่เราจะได้ช่วยให้เด็กๆ unlearn ลบความเข้าใจผิด และทำความเข้าใจความหมายที่ถูกต้องได้
.
ครู Kai สรุปทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “การเรียนภาษา ไม่ใช่แค่การใช้ตามกฏแกรมม่าอย่างเดียว แต่คือการเรียนรู้ความรู้เดิม ทำความเข้าใจมันใหม่”
.
เพราะตราบใดที่มนุษย์ยังมีชีวิตและใช้ความคิดสร้างสรรค์ เล่น บิด แต่ง เกลาภาษา
ร่วมกับสังคม วัฒนธรรม และกาลเวลา
ภาษาก็จะยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อยๆ เช่นเดียวกับมนุษย์เรา
นี่แหละ คือ ธรรมชาติของภาษา :-)
.
ใครมีไอเดียหรือแนวการสอนภาษาอังกฤษที่ช่วยกระตุ้นให้เด็กๆ เรียนรู้และใช้ได้จริง อย่างมาเขียนแบ่งปันเพื่อนครูและชาว inskru ผู้สนใจการศึกษาไอเดียกันใน inskru.com/create ได้นะ
.
ส่วนใครอยากดู live ครู Kai แบบเต็มๆ ที่เสริมไอเดียการสอนโดยครูโทนี่ ครูกอล์ฟ และครูเกม ดูย้อนหลังเต็มๆ ได้เลยที่:
https://www.facebook.com/watch/live/?ref=watch_permalink&v=333401565381829
แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru
เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย