ขอกล่าวก่อนว่า ห้องเรียนเราจะสอนเด็กเรื่อง gender stereotypes ตั้งแต่ช่วงสัปดาห์แรกของเปิดเทอม ไม่ว่าจะเป็นของเล่นที่ตุ๊กตาไม่จำเป็นว่าต้องเล่นสำหรับผู้หญิง ผู้ชายก็เล่นได้ หรือแม้กระทั่งเรื่องพื้นฐานอย่างสี ที่คนหมู่มากมักจะตีค่าว่า“สีชมพูคือสีของผู้หญิง” ในขณะที่ “สีน้ำเงินคือสีของผู้ชาย” สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งที่สังคมได้วางกรอบแคบๆ ไว้เท่านั้น เพียงเพราะว่าสีชมพูอ่อนหวานเหมือนกับผู้หญิง ส่วนสีน้ำเงินก็ดูสุขุมนุ่มลึกเหมือนกับผู้ชาย แต่สิ่งที่ภูมิใจคือเด็กห้องเราค่อนข้างมีความโดดเด่นและเชื่อมั่นในความเป็นตัวของตัวเอง เช่น เด็กผู้ชาย ชอบ สีแดง และเด็กผู้หญิงชอบ สีม่วง
มาถึงเรื่องเสื้อผ้าไม่มีเพศ ทำให้นึกถึงกิจกรรม my body my choice ที่เราให้เด็กต่อเติมรูปภาพโดยใช้โบชัวร์
จะเห็นได้ว่า เด็กคนนี้ใส่ทั้งกางเกงและกระโปรง เมื่อคุณครูให้ไปนำเสนอ เพื่อน ๆ ต่างตั้งคำถามว่า ทำไมใส่กระโปรงซ้อนกัน 3 ตัว คำตอบที่เด็กคนนี้ตอบมาคือ "มันเป็นสไตล์" ในฐานะคนคนนึงที่ได้ยินคำนี้ ใจฟูมาก ขนาดเด็กยังเข้าใจในเรื่องของ gender neutral style แล้วผู้ใหญ่หลาย ๆ คนทำไมไม่ลองเปิดใจยอมรับความลื่นไหลทางการแต่งตัวบ้าง
สืบเนื่องมาจนถึงกิจกรรมศิลปะ หลายๆ คนคงจะมองเห็นภาพเมื่อเราหยิบพู่กันมาสะพัดแปรง วาดลวดลายลงบนวัตถุชนิดใดชนิดหนึ่งด้วยความเพลิน คงไม่ได้พะวงถึงว่าเสื้อผ้าเราจะเปื้อนสีหรือไม่ เด็ก ๆ ก็เช่นกัน เราจึงพยายามหาสิ่งที่จะกันเปื้อนเด็กได้มากที่สุด
ซึ่งก่อนที่จะให้เด็ก ๆ เลือก เราจะพูดก่อนว่า เสื้อกันเปื้อน ไม่ว่าจะเป็นชุดไหน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือมันจะไม่ทำให้ชุดเราเปื้อนสี เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กที่มีโอกาสเลือกทีหลังเสียใจที่ไม่ได้ชุดที่ตัวเองวาดหวังไว้ จากภาพนี้จริง ๆ แล้วชุดมีจำนวน 8 ชุด แต่มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเลือกชุดกระโปรง ซึ่งก่อนเลือกเขาก็มาถามเราว่า "คุณครูผู้ชายก็ใส่กระโปรงได้ใช่ไหม" เราก็บอกว่า "ได้" แล้วเขาก็ยิ้มด้วยความดีใจ
นี่เป็นภาพที่เด็กมาโรงเรียนครบทุกคน และเด็กผู้ชายใส่ชุดกระโปรงทั้ง 3 คน ซึ่งเป็นภาพที่เราไม่เคยคาดหวังว่าจะเกิดขึ้น
*แอบกระซิบ 1 ผู้ชายได้เลือกทีหลังเนื่องจากแอบซุบซิบกันเสียงดัง และเหลือแค่กระโปรง 3 ชุด ซึ่งเขาก็เลือกและใส่เอง ด้วยความ enjoyed
*แอบกระซิบ 2 ชุดกระโปรงทุกตัว เด็กผู้ชายเคยใส่มาแล้วทุกคนนะคะ ซึ่งภาพนี้ก็บ่งบอกได้อีกมิติหนึ่งนอกจากเสื้อผ้าไม่มีเพศแล้ว การทาเล็บก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้หญิงเสมอไป
เมื่อเรามองย้อนกลับมาเราจะพบว่า การที่คนๆ นึงค้นหาสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งที่เหมาะสมที่สุดให้กับตัวเอง มันก็เป็นพื้นฐานความต้องการทั่วไปของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้วที่อยากจะมีอิสระเสรีในการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง และคงจะดีไม่น้อย หากคนๆ นึงจะได้สนุกไปกับการแต่งตัว โดยที่ไม่ต้องมีกำแพงเรื่องเพศมาขวางกั้น
ถ้าเรายังมองว่าเด็กเป็นเด็กตลอดไป สังคมคงยากที่ก้าวผ่านคำว่า ความลื่นไหลทางเพศ เพียงเพราะผิดแปลกไปจากเดิม หากเราสอนเด็กให้มองเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ เคารพความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น รวมถึงการยอมรับความเป็นตัวเองของผู้อื่น เพียงเท่านี้เราก็จะพบความง่ายที่เป็นสุข
ขอบคุณบทความจาก mangozero.com/gender-neutral-style-man
แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru
เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย
ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!