เชื่อได้เลยว่า ใครที่จบคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์มา จะต้องเคยเห็นภาพการทดลองนี้ผ่านตามาก่อน แต่จะจำได้หรือไม่ได้นั้นอีกเรื่อง! (ฮา)
การทดลองนี้มักจะถูกบรรจุอยู่รายวิชา "จิตวิทยาการศึกษา (Educational psychology)" ที่พูดถึงธรรมชาติการเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิต โดยยกตัวอย่างการวางเงื่อนไขในสุนัข เริ่มต้นจากการสังเกตเห็นว่าสุนัขจะน้ำลายไหลเมื่อเห็นถาดอาหารวางอยู่ตรงหน้า ในทางกลับกัน สุนัขจะไม่ตอบสนองอะไรกับการสั่นกระดิ่ง (ก็แน่นอนแหละ สุนัขไม่ได้ชอบกินกระดิ่งนี่นา)
แต่เมื่อนำถาดอาหารมาวางไว้ข้างหน้าสุนัขพร้อมกับสั่นกระดิ่งไปพร้อม ๆ กัน ทำแบบนี้ซ้ำหลายแล้วซ้ำเล่า ก็จะพบว่าในครั้งถัด ๆ ไป เมื่อสั่นกระดิ่งเพียงอย่างเดียวสุนัขก็น้ำลายไหลแล้ว แม้ว่าจะไม่มีถาดอาหารวางอยู่ข้างหน้าก็ตามแต่ เนื่องจากสุนัขเกิดการเรียนรู้ว่า "เมื่อมีกระดิ่งก็ต้องมีอาหารสินะ!" การทดลองนี้ส่งให้ อีวาน พาฟลอฟ นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียคว้ารางวัลโนเบลในปี ค.ศ. 1904 อย่างงดงาม
หรืออีกการทดลองของ บี เอฟ สกินเนอร์ (B. F. Skinner) ในการทดลองที่ชื่อว่า "กล่องของสกินเนอร์ (Skinner box)" ที่ปล่อยให้นหนูแรท (Rat) ใช้ชีวิตอยู่ในกล่องที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี มีแป้นกดที่สามารถขยับได้ข้างในกล่อง ในช่วงแรก เมื่อหนูแรทเผลอไปเหยียบแป้นกด อาหารจะร่วงลงมาตามช่อง เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ซ้ำ ๆ เข้า หนูแรทจึงเกิดการเรียนรู้ว่าถ้าเมื่อใดที่หิว ก็จะรีบวิ่งมาเหยียบที่แป้นกดภายในกล่อง แและเมื่อสังเกตพฤติกรรมของหนูแรทเรื่อย ๆ ก็จะพบว่าหนูแรทเดินมาเหยียบที่แป้นกดถี่ขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ แสดงให้เห็นว่าหนูแรทเรียนรู้ที่จะเหยียบแป้นกดเพื่อหาอาหาร
แต่ในช่วงหลังของการทดลอง สกินเนอร์ได้เปลี่ยนผลจากการเหยียบแป้นกดจากอาหารให้กลายเป็นกระแสไฟฟ้าที่ไหลเวียนผ่านซี่เหล็กบริเวณพื้นของกล่อง ผลปรากฏว่าหนูแรทเลือกที่จะเหยียบแป้นกดน้อยลง และเมื่อเวลาผ่านไปก็จะไม่เหยียบแป้นกดอีกต่อไป เพราะทนต่อความเจ็บปวดจากการโดนกระแสไฟฟ้าช็อตไม่ไหว แสดงให้เห็นว่าหนูแรทหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ตนเองเจ็บปวด
จากการทดลองชื่อดังทั้งสองที่บรรจุอยู่ในบทเรียนจิตวิทยาการศึกษา ทำให้คุณครูหลายท่านเชื่อมโยงว่า "เด็ก ๆ ก็คงเหมือนกับสุนัขหรือหนูแรทในการทดลองสินะ" เมื่อใดที่เราอยากให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ก็เพียงแค่ใส่เงื่อนไขบางอย่างลงในการสอน หรือสร้างบทลงโทษที่ชัดเจนเพื่อให้นักเรียนหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่คุณครูไม่ต้องการ เหมือนกับหนูที่โดนไฟฟ้าช็อตและไม่กล้าที่จะแสดงพฤติกรรมการกดแป้นกดอีกต่อไป
แนวคิดจิตวิทยาดังกล่าวนั้น ในปัจจุบันจัดอยู่ในหมวดที่เรียกว่า "จิตวิทยาในแนวทางเดิม (Traditional psychology)" ที่ต้องการจะควบคุมพฤติกรรมของนักเรียน แนวทางโดยส่วนมากของ Traditional psychology นั้นจะมุ่งเน้นไปที่การ "Focus on what's wrong" หรือการค้นหาพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์และพยายามที่จะทำให้นักเรียนแสดงพฤติกรรมนั้นลดลงด้วยการลงโทษ (เช่นเดียวกับการใช้ไฟฟ้าช็อตหนูแรท) เช่น
การกระทำดังกล่าวไม่แตกต่างอะไรกับการฝึกสัตว์เลี้ยงให้มีพฤติกรรมตามที่ตนเองต้องการ แต่หารู้ไม่ว่าแนวทางดังกล่าวเป็นเหมือน "เกมทุบตัวตุ่น" ที่ไล่ทุบสิ่งที่ผุดขึ้นมาด้วยความรุนแรง และไม่มีวันจบสิ้น นักเรียนจึงมีโอกาสเติบโตน้อยมากจากแนวทางนี้ และมีนักเรียนหลายคนเลือกที่จะหลบหนีบทลงโทษไปเรื่อย ๆ ด้วยความกดดัน
ในปัจจุบันนั้น มีแนวทางที่เรียกว่า "จิตวิทยาเชิงบวก (Positive psychology)" ที่มุ่งเน้นการค้นหา "จุดแข็ง (Character strenghts)" ของผู้เรียน แทนที่จะหาว่ามีพฤติกรรมใดที่ไม่พึงประสงค์บ้าง เปลี่ยนเป็นการมองว่ามีพฤติกรรมใดที่ควรส่งเสริม ทำให้จุดเด่นนั้นแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ซึ่งอยู่ในฐานคิดแบบ "Focus on what's work" มีคุณสมบัติไหนที่ดีที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวนักเรียนบ้างนะ ส่งเสริมมันให้แข็งแรงขึ้นสิ! แล้วแนวปฏิบัติของจิตวิทยาเชิงบวกควรเป็นอย่างไรละ?
โมเดลที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดบ่อย ๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา คือ "PERMA model" คิดค้นโดยนักจิตวิทยาเชิงบวก Martin Seligman ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือที่ชื่อว่า Flourish ในปี 2001 ในตัวย่อต่าง ๆ นั้นมีความหมายดังต่อไปนี้
แนวทางนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นแนวทางที่สามารถสร้างการเรียนรู้ให้กับนักเรียนไปพร้อม ๆ กับบรรยากาศแห่งความสุขภายในห้องเรียน
จากภาพจะเห็นว่าเมื่อนักเรียนแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ คุณครูมีทางเลือกในการตอบสนองต่อพฤติกรรมเหล่านั้นเสมอ แทนที่จะมองหาข้อผิดพลาดเพื่อลงโทษ กดทับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ให้จางหายไป ปรับเปลี่ยนมาโฟกัสกับสิ่งที่นักเรียนสามารถพัฒนาได้ เช่น เมื่อนักเรียนนำงานของเพื่อนมาส่งครู แทนที่จะตำหนินักเรียนกลางห้องเรียนให้หลาบจำ เปลี่ยนมาใช้การพูดคุยเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและเสริมอุปนิสัย "ความซื่อสัตย์ (Honestly)" ของนักเรียนให้แข็งแกร่งขึ้น
จะสังเกตได้ว่าแนวทางดังกล่าวนั้น อยู่บนพื้นฐานของ PERMA model ไม่ว่าจะเป็น อารมณ์เชิงบวกที่เกิดขึ้น การมีส่วนร่วมในการเติบโตของตนเอง ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูและนักเรียน การเติบโตที่มีความหมายของนักเรียน และความภาคภูมิใจเมื่อสามารถพัฒนาตนเองได้
จากตัวอย่างดังกล่าว เราจึงอยากชวนคุณครูกลับมาทบทวนมุมมองด้านการเรียนรู้และพฤติกรรมของนักเรียนอีกครั้ง คุณครูอยากเห็นห้องเรียนแบบไหนกันนะ และคุณครูกำลังมองนักเรียนเป็นอะไรกันแน่ ระหว่างสัตว์เลี้ยงที่ต้องปรับพฤติกรรมด้วยการลงโทษอย่างเข้มงวด หรือมนุษย์คนนึงที่ต้องการเติบโตและเรียนรู้ด้วยความสุข ไม่แน่ว่ามุมมองที่เปลี่ยนแปลง อาจจะส่งผลให้บรรยากาศในห้องเรียนของคุณครูไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปก็ได้นะ!
เรียบเรียงเนื้อหาจาก
psychologicalscience.org/observer/revisiting-pavlovian-conditioning
youtube.com/watch?v=CMUktTFu5vI
แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru
เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย
ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!