“เป้าหมายในการมาอยู่ในห้องเรียนนี้คุณคืออะไร?”
วัฒนธรรมประชาธิปไตยในห้องเรียน
ผมตั้งใจ และเชื่อเสมอว่าห้องที่ปรึกษา ต้องมีเวลาทำกิจกรรมร่วมกัน ให้ได้พูดคุย มีบทสนทนาที่ดี นอกเหนือจากในวิชาเรียน และแน่นอนว่าโฮมรูมตอนเช้า 20 นาที ก็ทำอะไรได้ไม่มากนักถ้าต้องอาศัยกระบวนการที่ใช้เวลา
ศุกร์แรกของการเรียน คาบเกียรติยศไม่มีกิจกรรมอะไร คาบชุมนุมเข้าสัปดาห์หน้า คาบโครงงานก็ค่อนข้างยืดหยุ่น และต้องอยู่กับที่ปรึกษา
ต้องฉวยโอกาสเวลาสามคาบนี้ไว้
ใช้เวลาตอนต้นให้คู่ที่ปรึกษาจัดการเซ็นเอกสารเด็กที่แก้ไขผลการเรียน และผมดูนักเรียนที่เหลือช่วยกันจัดโต๊ะให้เป็นพื้นที่ว่างสำหรับนั่งล้อมเป็นวงได้
อยากให้ห้องเรียนทุกคนมองเห็นกันและกัน
ผมกับครูแบม ที่ปรึกษาคู่นั่งเป็นส่วนหนึ่งในวงด้วย
เราส่งต่อใบแบบฟอร์มทำความรู้จักนักเรียนโดยInskru -พื้นที่แบ่งปันไอเดียการสอน และให้นักเรียนดูผ่านๆ
แล้วจะพาทุกคนเขียนทีละช่อง ทีละ step ไปพร้อมๆกัน ซึ่งทดลองมาแล้วว่าคุณภาพการเขียนดีกว่าการปล่อยเขียนไปเลย แต่อาจใช้เวลามากกว่า จับเวลาคร่าวๆ ยืดหยุ่นตามประเด็นที่เขียนว่าให้เวลามากน้อย และคอยสังเกตถ้ายังมีนักเรียนเขียนอยู่หลายคนก็ขยับเวลาให้รอเขียนเสร็จ หรือ ไม่เสร็จสักทีก็บอกให้กลับมาเขียนต่อได้ตอนได้ พร้อมให้ขยับไปที่ประเด็นคำถามถัดไป
พอนักเรียนเขียนมาถึงสิ่งที่อยากให้ครูช่วยในข้อสุดท้าย ผมให้เวลานักเรียนอีก 10 นาทีในการ “วาดรูปตัวเอง และแต่งเติมให้บ่งบอกความเป็นตัวเอง พยายามวาดเรื่อยๆ เติมเรื่อยๆจนกว่าจะครบ 10 นาที
ผลออกมาน่ารักมาก
ผมสัญญาจะเก็บเป็นความลับ ไม่เปิดเผย
และเดินเก็บจากนักเรียนทีละคน และให้นักเรียนพักสองสามนาที
“เอาล่ะ ทุกคนวางของไว้ ยืนหน้าเก้าที่ตัวเอง ล้อมเป็นวงไว้
กติกาคือ
ถ้าครูพูดคำไหน ให้เราซื่อสัตย์กับตัวเอง ใครมี ใครเป็น หรือเคยทำสิ่งที่ครูบอก ให้ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว เมื่อครูบอกว่าเชิญ ให้สลับที่กับเพื่อนที่ก้าวออกมาเหมือนกัน”
“ลองดูนะ ‘ใครใส่นาฬิกาข้อมือ’ ก้าวออกมาครับ”
“เชิญครับ”
หลังจากนั้นก็ไล่เป็นคำถามทั่วไป เกิดวันอะไร มาโรงเรียนยังไง พอบอกให้คนเกิดเดือนพฤษภาคมออกมา ปรากฎว่ามี 3 คน และ 1 ใน 3 เกิดวันนี้ (20 พ.ค.) พอดี จึงถือโอกาสร่วมกันร้องเพลงและอวยพรวันเกิดทั้งสามคน และครูแบบมก็ได้ซื้อขนมเล็กๆน้อยๆมาให้ แววตาเจ้าของวันเกิดเปล่งประกายมาก
“หลังจากนี้ประเด็นจะซีเรียสมากขึ้นนะ” ผมออกตัวบอกก่อน และเริ่มถามถึงประสบการณ์ในชั้นเรียน ในโรงเรียน ใครเคยถูกทำร้าย ถูกกลั่นแกล้ง ใครเคยถูกเปรียบเทียบ มาถึงตรงนี้ ดูสายตาหลายคนเหมือนอัดอั้นตันใจ เลยให้ได้แชร์ประสบการณ์ ใครสบายใจจะเล่าก็อยากให้เล่า และให้ทั้งห้องรับฟัง ร่วมไปถึงถามเรื่องผลการเรียน ปรากฎว่ามีจุดร่วมกันเกือบทั้งห้องเยอะพอสมควร
“เอาล่ะครับ นั่งที่ได้ แล้วรับกระดาษไปคนละแผ่น พับครึ่ง ให้เป็น 4 ส่วน”
“คุณมานั่งตรงนี้ ในห้องเรียนนี้ ทุกๆวันทำไม?” ผมถาม นักเรียนทำหน้างงๆ
“ลองบอกหน่อยคุณมาโรงเรียนทำไม? อะไรคือเป้าหมายของคุณ? ลองเขียนลงไปในกระดาษหน้าแรกครับ” จากนั้นผมก็ให้นักเรียนเลือกมาหนึ่งข้อที่สำคัญที่สุด และแชร์คนละข้อรอบวง
ผมจัดกลุ่มคำตอบ แล้วสรุปขึ้นบนจอ ถามนักเรียนว่าครบถ้วนไหม ได้ประเด็นดังนี้
มาเรียนรู้ ได้ความรู้ ทักษะต่างๆ
ฝึกความรับผิดชอบ วินัย คุณลักษณะ และการอยู่ร่วมกัน
หาเป้าหมายในชีวิต ได้ค้นพบตัวเอง (ประทับใจตอนนั่งเรียนพูดประเด็นนี้มาก)
ได้มีวุฒิการศึกษา ได้มีงานทำในอนาคต
ผมเลยชวนถามต่อว่า
“เอาให้เห็นภาพง่ายหน่อย เราใช้เวลาที่โรงเรียนอยู่ในห้องเรียนนี้ และเพื่อนกลุ่มนี้มากที่สุด
ลองนึกดูนะครับ ว่ามีอะไรที่จะเป็น ‘อุปสรรค’ ขัดขวาง ไม่ให้เรา หรือเพื่อนไปถึงเป้าหมายเหล่านั้นได้
ลองเขียนลงไปในกระดาษหน่อย อาจเป็นจากตัวเอง จากเพื่อน จากอื่นๆ”
นักเรียนต่าง คนต่างก้มหน้าตั้งใจเขียนมาก สักพักมีนักเรียนถามว่า “ปัญหาจากครูด้วยได้ไหมคะ?”
“ได้สิ เขียนมาเลย”
พอให้ทั้งห้องช่วยกันแชร์ ทุกคนนิ่งแล้วก็ตั้งใจฟังเพื่อนมาก อาจจะมีหลุดนิดหน่อย แต่เหมือนเดิม เมื่อส่งสัญญาณ ทุกคนก็รู้ตัวในเสี้ยววินาที และมาโฟกัสเพื่อนที่กำลังพูดอยู่ต่อ
จริงๆผมต้องการให้ทุกคนสะท้อนพฤติกรรมที่ควรทำหรือไม่ควรทำ
แต่กลับได้คำตอบมากว่านั้น แต่เป็นประสบการณ์ทางอารมณ์ ความรู้สึกอีกด้วย
นักเรียนส่วนหนึ่งบอกว่า ตัวเองไม่ตั้งใจ เรียนไม่รู้เรื่อง และไม่เก่ง
ผมถามว่า อะไรทำให้คิดแบบนั้น หรือเป็นแบบนั้น
ปรากฎว่าสอดคล้องกับกลุ่มที่บอกว่าตัวเองกดดัน ทั้งจากตัวเอง และคนรอบข้าง โดยเฉพาะจากครอบครัว
นักเรียนอีกจำนวนมากบอกว่าไม่กล้าแสดงออก ขาดความมั่นใจ กลัวผิดพลาด
ผมก็ชวนคุยว่ามันเกิดจากอะไร แต่ละอย่างส่งผลถึงกันอย่างไร
ส่วนประเด็นปัญหาจากเพื่อนก็มีทั้งชอบวุ่นวาย เสียงดัง พูดมาก ชวนเล่น ชวนไปห้องน้ำ (ผมก็ถามว่า แล้วคุณก็เลยปฏิเสธ? เปล่า ก็เล่นด้วย! ผ่าม!) ไม่พร้อมเรียนแล้วมารบกวนยืมอุปกรณ์ตลอด ชอบแกล้ง จนไปถึงทะเลาะวิวาทกันในห้อง หรือแม้แต่เพื่อนเท้าเหม็น
ส่วนในด้านของครู รวมไปถึงพ่อแม่ ก็มีทั้ง ไม่มีเหตุผล ใช้อารมณ์ ไม่ยุติธรรม ทำลายความมั่นใจ ชอบเปรียบเทียบ สั่งงานไม่ชัดเจน เอาใจไม่ถูก ชอบดูถูก จนไปถึงบางครั้งครูเป็นคนบูลลี่เด็กเอง
มาถึงตรงนี้ ผมเลยให้แต่ละคน เขียนกติกาคนละหนึ่งข้อ ที่จะช่วยให้การเรียนรู้ของห้องเราบรรลุเป้าหมายได้
ผมให้ทุกคนยืน และสุ่มนักเรียนพูดกติกาตัวเองขึ้นมา เมื่อคนแรกพูดจบ ผมถามว่ามีใครที่ประเด็นเดียวกัน เรื่องเดียวกันกับเพื่อนไหม มีใครอยากเพิ่มเติมหรือเปล่า เมื่อประเด็นนั้นเรียบร้อยแล้ว ก็ให้นักเรียนที่ประเด็นที่ตนเองเสนอผ่านแล้ว นั่งลง ทำแบบนี้จนครบทุกประเด็น นั่งลงทุกคน จึงสรุปกติกาออกมาเป็น 7 ข้อ ผมไล่เรียงไปทีละข้อ และให้เสนอมาตรการ หรือเงื่อนไขเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้ที่เสนอไว้
ผมถามว่ามีใครได้รับผลกระทบจากข้อนี้ไหม ทำให้ใครอึดอัดใจหรือเปล่า เป็นประโยชน์ต่อส่วนร่วมจริงๆใช่ไหม หากมีคนละเมิดต้องทำอย่างไร ตรงนี้ มีการต่อรองเกิดขึ้น แต่ก็ได้ข้อสรุป โดยผมช่วยเรียบเรียง และให้นักเรียนยกมือรับรองทีละข้อ ได้ดังนี้
และนี่คือข้อตกลงเบื้องต้น ที่มาจากนักเรียนในชั้นเอง ตลอดกระบวนการสามคาบ นักเรียนที่ครูผู้สอนชอบบ่นว่าคุยกัน ไม่สนใจ ไม่เอาไหน แต่กลับให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และตั้งใจเขียน มีส่วนร่วมทุกบทสนทนา
เพราะเขารู้ว่ามีคน “ฟัง”
จริงๆเด็กหลายคนยังต้องดำเนินการแก้ไขผลการเรียน ช่วงเวลานี้ก็น่าจะให้โอกาสเขาไปดำเนินการ
แต่ในอีกมุมหนึ่ง ผมเชื่อว่ากระบวนการนี้ก็สำคัญ และเขาทุกคนสำคัญ ต้องรับโอกาสในการมีส่วนร่วมอย่างเสมอภาค ซ้ำนักเรียนเหล่านี้แหละที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพูดคุย ทำความเข้าใจเป็นพิเศษด้วยซ้ำ
พอเห็นเป้าหมายแล้ว แก้ 0 น่ะเมื่อไหร่ก็ได้
ครูหลายคนถามผมว่าอยากรู้ว่าผมสอนเด็กนักเรียนยังไง มีเทคนิคอะไร ทำยังไงถึงจะสอนเก่ง (ซึ่งไม่เคยเคลมเลยนะว่าเราเก่งอะไรจากไหน)
เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องรอง
เรื่องแรกที่สำคัญที่สุดคือ เราที่เป็นครู เรามองผู้เรียนยังไง?
ถ้าแก่นของเราคือเห็นเขาเป็นมนุษย์ ที่เท่าเทียมกันกับเรา มีศักยภาพ มีความสามารถ มีความคิดความรู้สึก ที่เรียนรู้และเติบโตได้
วิธีการที่เหมาะสมจะตามมาเอง
แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru
เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย
ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!