คุณครูหลาย ๆ ท่านอาจเคยได้สอนเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น หรือที่เรียกว่า ADHD (Attention Deficit Hyperactivity Disorder) ซึ่งถ้าหากคุณครูได้ทราบแล้วว่านักเรียนมีอาการสมาธิสั้น อาจเกิดความกังวลในการดูแลนักเรียนเหล่านี้ แต่จริง ๆ แล้ว การดูแลเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลอย่างที่คิด เพราะเราได้รวบรวมเทคนิควิธีการที่จะช่วยให้คุณครูได้นำไปใช้ในชั้นเรียนเรียบร้อยแล้ว โดยรวบรวมข้อมูลนี้มาจากงานอบรมออนไลน์โดยเพจ KruKids คิดแบบปฐมวัย ในหัวข้อ “ADHD เคล็ดไม่ลับ รับมือเด็กสมาธิสั้น” บรรยายโดย ผศ.ดร.กนกพร วิบูลพัฒนะวงศ์
พฤติกรรมแบบไหน เข้าข่ายสมาธิสั้น
การวินิจฉัยว่าเด็กเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่นั้น จำเป็นต้องอาศัยการซักประวัติอย่างละเอียด ร่วมกับการตรวจร่างกายในบางกรณี หากเด็กคนใดมีอาการเข้าข่าย ควรพาไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยลักษณะพฤติกรรมของเด็กสมาธิสั้น แบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ ดังนี้
1. อยู่ไม่นิ่ง ไม่สามารถควบคุมตัวเองให้อยู่กับที่ได้ ซึ่งอาการอยู่ไม่นิ่ง ต้องสังเกตอย่างละเอียด เพราะเด็กบางคนอาจจะเพียงซนตามประสาเด็ก แต่ถ้าหากเป็นเด็ก ADHD ลักษณะอาการของการอยู่ไม่นิ่งจะแตกต่างจากเด็กทั่วไป คือจะซนมากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ไม่สามารถนั่งอยู่กับที่ของตนเองได้ ต้องลุกเดินไปมา วิ่งวุ่นหรือปีนป่ายในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม ไม่สามารถเล่นเงียบ ๆ ได้ หรือพูดเยอะเกินกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
สิ่งที่คุณครูควรทำ ลักษณะอาการนี้ไม่ได้หมายความว่าเด็กที่มีอาการสมาธิสั้น มีความตั้งใจจะก่อกวนห้องเรียน ดังนั้นสิ่งที่คุณครูทำได้คือ หากเด็กไม่ได้ลุกไปกวนเพื่อน ๆ คนอื่นในห้อง ก็อาจจะปล่อยให้เขาเดินไปก่อน แล้วเมื่อเขากลับมานั่งที่ได้ด้วยตนเอง คุณครูก็ควรที่จะกล่าวคำชม เพื่อที่จะทำให้เด็กรู้ว่า แม้เขาจะลุกออกไปที่อื่น ไม่นั่งที่ แต่เขาก็ไม่ได้ไปก่อกวนใคร หรือทำพฤติกรรมที่ทำให้คนอื่นเสียสมาธิ เป็นการชื่นชม แต่หากเด็กเริ่มลุกไปก่อกวนเพื่อน ๆ คนอื่น คุณครูก็ควรจะต้องคอยตามประกบ และพยายามหาทางพากลับมายังที่นั่งของตนเอง ไม่ใช้วิธีการดุ แต่เลือกวิธีควบคุมพฤติกรรมแทน
2. หุนหันพลันแล่น ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ ไม่สามารถรอคอยได้ พูดแทรก ขัดจังหวะคนอื่นในการสนทนาอยู่เสมอ อีกทั้งการแสดงอารมณ์ ตื่นเต้น ดีใจ ไม่พอใจ เสียใจ จะแสดงออกมามากกว่าปกติ หรือเมื่อเล่นเกม ทำกิจกรรมที่มีการแข่งขันกันแล้วพ่ายแพ้ จะแสดงอารมณ์โกรธ ไม่พอใจ ออกมามากกว่าคนทั่วไป
สิ่งที่คุณครูควรทำ คอยอธิบายให้เด็กฟังเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และกฎกติกาต่าง ๆ โดยไม่ใช้อารมณ์ ไม่ลงโทษอย่างรุนแรง เพราะจะทำให้เด็กรู้สึกต่อต้านคุณครู บางคนอาจคิดว่าการกระทำนั้น ๆ ทำให้คุณครูสนใจ จึงทำต่อไปเรื่อย ๆ จนไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของตัวเองได้
3. ขาดสมาธิ มีอาการเหม่อลอย ตั้งสมาธิได้ยาก วอกแวกง่าย ชอบมองออกไปนอกหน้าต่าง ลืมของบ่อย ๆ ลืมกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำสม่ำเสมอ หรือลืมทำการบ้าน อาการนี้เกิดจากความสนใจหลาย ๆ สิ่ง มีความคิดหลายอย่างในหัว จนอาจหลุดโฟกัสกับสิ่งที่กำลังทำอยู่
สิ่งที่คุณครูควรทำ หมั่นเรียกชื่อนักเรียนที่สมาธิสั้นบ่อย ๆ เพื่อให้เขามีสติ และกลับมาโฟกัสที่คุณครู หรือทำ check-list สิ่งที่จะต้องเตรียมมาโรงเรียน และสิ่งที่เขาจะต้องนำกลับบ้าน แสดงขั้นตอนต่าง ๆ ให้เห็นเป็นลำดับขั้นตอนชัดเจน คอยประกบ และดูแลเป็นพิเศษ เริ่มให้การบ้านตั้งแต่ต้นคาบเรียน เพราะเป็นช่วงเวลาที่เด็กยังมีสมาธิอยู่ และควรจดรายละเอียดของการบ้านบนกระดานให้ชัดเจน แทนการพูดปากเปล่า
เทคนิคการสื่อสารกับเด็กสมาธิสั้น
หลักการในการสื่อสารกับเด็กสมาธิสั้นอย่างถูกวิธี มี 3 เทคนิคดังนี้
1. เรียกความสนใจของเด็ก คุณครูต้องสังเกตว่าเขาฟังคุณครูอยู่หรือไม่ในขณะที่คุณครูพูดด้วย โดยสังเกตได้จาก แววตาของเด็ก ว่าเขามองเราอยู่ไหม หากเขายืนคุยอยู่กับเรา แต่สายตาของเขามองไปที่อื่น นั่นก็หมายความว่านักเรียนอาจจะไม่ได้ฟังเราอยู่ ซึ่งวิธีการเรียกความสนใจ คุณครูทำได้โดยการเรียกความสนใจแบบรวม ๆ จากเด็กทั้งห้อง เช่น นักเรียนฟังครูหน่อย หลีกเลี่ยงการเรียกชื่อเด็กให้สนใจคุณครูแบบเฉพาะเจาะจง เพราะจะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกในด้านลบกับคุณครูได้ว่า เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ตั้งใจฟังคุณครู
2. พูดสั้น ๆ กระชับ และตรงไปตรงมา เวลาพูดกับเด็กสมาธิสั้น ควรพูดเน้นไปที่เนื้อหาสำคัญ ไม่พูดเกริ่นนาน เพราะจะทำให้เด็ก ๆ เริ่มหลุดโฟกัสและไม่สนใจในสิ่งที่คุณครูพูด
3. ใช้ภาพประกอบ เพราะการพูดด้วยปากเปล่า บางครั้งเด็ก ๆ อาจไม่ได้โฟกัสในสิ่งที่คุณครูพูด พอจะกลับมาฟังอีกครั้งก็กลายเป็นว่าลืมไปแล้ว ไม่มีภาพในหัว จึงทำให้ไม่มีสัญลักษณ์อะไรที่จะช่วยให้เด็กจดจำในสิ่งที่คุณครูพูดได้ ภาพประกอบเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยดึงความสนใจเด็ก และทำให้เด็กจดจำในสิ่งที่คุณครูพูดได้ง่ายขึ้น หรือการทำ checklist เพื่อช่วยเตือนความจำว่าเขาจะต้องทำอะไรบ้าง ก็ควรมีภาพประกอบแต่ละขั้นตอนด้วย เพื่อให้เด็กเข้าใจและเห็นภาพได้ง่ายขึ้นว่าควรทำอะไรบ้าง
จัดการชั้นเรียนยังไง ให้ทุกคนเรียนได้เต็มที่
การจัดสภาพแวดล้อมในห้องเรียนอย่างเหมาะสม จะผลดีต่อการเรียนรู้ที่ดีของนักเรียนทุกคน และนักเรียนที่มีอาการสมาธิสั้นด้วย หลักการในการจัดห้องเรียน และการจัดบรรยากาศในการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็กสมาธิสั้นสามารถทำได้ ดังนี้
ข้อมูลที่เล่ามาเป็นเพียงแนวทางเท่านั้น แต่เราเชื่อว่าคุณครูจะสามารถนำหลักการที่กล่าวมาไปปรับใช้ได้ตามบริบทของห้องเรียนได้อย่างเหมาะสม ผ่านการสร้างความร่วมมือร่วมกับผู้ปกครอง แพทย์ และคุณครู insKru ขอส่งกำลังใจให้คุณครูร่วมเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยทำให้เด็กสมาธิสั้นสามารถเรียนร่วมกันกับเพื่อน ๆ ได้ และเติบโตในสังคมได้อย่างมั่นใจต่อไป
ใครสนใจฟังเสวนา “เคล็ดไม่ลับ รับมือเด็กสมาธิสั้น” โดยเพจ KruKids คิดแบบปฐมวัยแบบเต็ม ๆ ตามไปดูได้ที่นี่เลย
https://web.facebook.com/krukidsofficial/videos/773646013980442/
แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru
เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย
ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!