💕 สวัสดีค่ะ คุณครูทุกคน กลับมาพบกันอีกแล้วนะคะ
วันนี้นีทมาชวนคุณครูคิดกันค่ะว่า นักเรียนของเรามีความเครียดไหมนะ แล้วเขาเครียดเรื่องอะไรกันบ้าง? นีทให้เวลา คุณครูคิดสัก 15 วินาทีนะคะ
ถ้าพร้อมแล้ว เริ่มค่ะ
หมดเวลาค่ะ!
นีทเชื่อว่า ความเครียดของนักเรียนที่เราคิดได้นั้นมีหลายหลาก เช่น เรียนไม่รู้เรื่อง, สอบได้คะแนนไม่ดี, กลัวสอบไม่ผ่าน, ยังหาอาชีพที่ชอบไม่เจอ, ทะเลาะกับที่บ้าน, โดนเพื่อนแกล้ง, อยากมีแฟนแต่ไม่มี, ไม่อยากตื่นเช้า, อยากผอม, สิวขึ้น, อยากกินขมหวานแต่กลัววอ้วน, อยากได้ photo book และอื่น ๆ
โดยนีทชวนคุณครูคิดต่ออีกสักนิดค่ะว่า เคยมีบ้างไหมคะ? ที่เราฟังปัญหาหรือความเครียดของนักเรียน แล้วเรารู้สึกว่า “มันเป็นปัญหาด้วยหรอ?” “เรื่องแบบนี้ต้องเครียดด้วยหรอ?”
นีทเชื่อว่า บางครั้งเราก็คิดแต่ไม่บอกนักเรียน หรือเราอาจจะคิดและบอกนักเรียนไปเลย (แย่ละ!)
นีทขอเล่าแบบนี้ค่ะว่า แท้จริงแล้ว “เจ้าความเครียด” นั้น เป็นการรับรู้ส่วนบุคคล ว่าเรื่องนี้ ทำให้เรารู้สึกเครียดหรือไหม ดังนั้น มันจึงไม่แปลก หากคุณครูฟังเรื่องราวของนักเรียนแล้วจะรู้สึกงงว่า “เรื่องนี้ต้องเครียดด้วยหรอ” เพราะคุณครูอาจจะนำการรับรู้ของเราไปผสมกับเรื่องราวของเด็ก
ดังนั้นหากนีทจะแนะนำคุณครูในเรื่องการรับฟังปัญหาและความเครียดของเด็กๆ คือ เราต้องเข้าใจก่อนว่า ความเครียดเป็นการรับรู้ของเด็ก หากเด็กบอกว่า เครียด แปลว่า เรื่องนั้น “เครียดสำหรับเขา”
โดยสิ่งนี้ ไม่ใช่การโอ๋เด็กนะคะ แต่มันเป็นกลไกในการเข้าใจความเครียดของนักเรียน ซึ่งเป็นไปตามนิยามความเครียดของ Lazarus and Folkman (1984) ที่ว่า
“ความเครียดนั้น เป็นการรับรู้หรือการประเมินของตัวเราเองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”
ซึ่งคนเราจะมีการประเมินเหตุการณ์นั้นด้วยกันอยู่ 2 ขั้นตอน คือ
ขั้นที่ 1 เราจะประเมินว่าเหตุการณ์ที่เราพบเจอนั้น มันมาคุกคาม มาทำให้เรารู้สึกไม่ดี มาทำให้เราไม่โอเค หรือมีบางอย่างในร่างกายที่ไม่ปกติเหมือนเดิมหรือไม่ ?
ต่อมาสำหรับคนที่รู้สึกว่า อุ้ย! เรื่องนี้ ทำให้เราไม่โอเค ตัวเราก็จะมีการประเมินในขั้นที่ 2 ทันที ว่า แล้วมันรุนแรงแค่ไหน
ดังนั้นจากที่นีทเล่ามานั้น น่าจะทำให้คุณครูเข้าใจนักเรียนมากขึ้นว่า อ้อ ๆ บางเรื่องที่เด็กรู้สึกเครียดมาก เพราะเขารับรู้ว่าเรื่องนั้นมาทำให้เขาไม่โอเคและเขาอาจจะยังไม่รู้ว่าจะแก้อย่างไร นั่นเองค่ะ
แล้วคราวนี้ เราจะช่วยเหลือเด็กๆ แก้ปัญหาอย่างไรนี้นะ นีทมีเครื่องมือมาแนะนำค่ะ นั่นคือ “ไหวไหม? & แก้ไง?”
โดยเครื่องมือ ไหวไหม? & แก้ไง? นั้น จะเป็นเครื่องมือที่ค่อย ๆ ช่วยให้นักเรียนได้ตกผลึก เรียบเรียงความคิด เกี่ยวกับความเครียดในเรื่อง ๆ หนึ่งที่ตนเองกำลังเผชิญอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจาก
เราลองมาดูตัวอย่าง กันนะคะ
ทุกปัญหานั้นมีทางแก้ ดังนั้น เรามาค่อย ๆ ทำความเข้าใจกับปัญหาและค่อย ๆ หาวิธีการจัดการปัญหาเหล่านี้ดูนะคะ
อ้างอิง
Lazarus, R. S., & Folkman, S. (1984). Stress, appraisal, and coping. Springer publishing company.
“หากเด็ก ๆ บอกว่าพวกเขาเครียด แปลว่า เรื่องนั้น ‘เครียดสำหรับเขา’ จริง ๆ”
แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru
เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย