สุขภาวะกายใจครู ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว นอกจากครูดูแลใจตัวเองแล้ว ระบบหรือโครงสร้างแบบไหนจะช่วยดูแลครูได้บ้าง?
คนมักเปรียบเทียบให้ครูเป็น “เทียนส่องแสงสว่าง” อาจดูเป็นคำที่สวยงาม แต่ครู Kai Low จากสหภาพครูสิงคโปร์ มองว่าแนวคิดนี้มีปัญหาต่อการดูแลสุขภาวะกายใจของครูนะ เพราะเป็นแนวคิดที่ส่งเสริมให้ครูต้อง “ทำงานให้ดีที่สุด แม้จะสิ่งนั้นจะกัดกินชีวิตส่วนตัวก็ตาม” เหมือนเทียนที่ใช้พลังงานจากการเผามอดตัวเองเพื่อส่องแสง แต่เทียนแท่งหนึ่งไม่ได้อยู่ได้ตลอดไป แรงกายแรงใจและ passion ของเรามีวันหมดได้
หากเทียนที่ชื่อว่า “คุณครู” กำลังเกิดอาหารหมดไฟ (burn out) นอกจากคุณครูจะต้องดูแลตัวเองมากขึ้นแล้ว ใครหรือระบบการทำงานแบบไหนที่ควรมีส่วนร่วมรับผิดชอบสุขภาวะของครูบ้างนะ ?
ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจคำว่า สุขภาวะ (Well-being) กันก่อน นี่เป็นเรื่องที่ต้องมองแบบองค์รวมและหาสมดุลจาก 3 สิ่งเหล่านี้ที่เชื่อมโยงส่งผลถึงกัน
มาลองเช็คดู Burn out checklist กัน คุณครูมีอาการเหล่านี้บ้างหรือเปล่านะ?
หมายเหตุ ทั้ง panic attack และ anxiety attack คือ ภาวะวิตกกังวลที่มีความใกล้เคียงกัน อาการบางส่วนอาจคล้ายกัน เช่น หัวใจเต้นเร็ว หายใจหอบ มีอาการชาตามร่างกาย รู้สึกว่ากำลังจะตายหรือทุกอย่างกำลังแย่อย่างไม่อาจควบคุมไม่ได้ ฯลฯ ต่างกันที่ anxiety มักเป็นเรื่องที่เราระบุหรือรู้สาเหตุ เมื่อตัดหรือหยุดสาเหตุนั้นจะมีอาการดีขึ้นได้ ในขณะที่อาการ panic อาจเกิดขึ้นได้ทันทีทันใด แม้เราจะระบุสาเหตุความกังวลไม่ได้แน่ชัด ทั้งสองอาการมีอยู่จริง หากคุณครูท่านไหนมีอาการเหล่านี้ แนะนำให้พบนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมนะ
ลองสังเกตคนรอบตัวถ้ามีอาการเริ่มมองลบๆ พูดประชด เล่นมุขเสียดสี ด่าทอสภาพแวดล้อมรอบตัวเกินไป อาจเป็นสัญญาณหนึ่งของการเหนื่อยและหมดหวังได้ ถ้ามีพฤติกรรมอย่างที่กล่าวมามากกว่า 2 อาทิตย์ ถือเป็นสัญญาณการหมดไฟที่เราควรบอกใครสักคน พัก หรือพบผู้เชี่ยวชาญ
คุณครูทุกคนปกป้องการมีสิทธิที่ตัวเองจะมีสุขภาวะที่ดีได้ ด้วยการปฏิเสธงานที่มีผลเสียต่อสุขภาพจิตของเรา
การปฏิเสธ ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นครูที่ไม่ดีหรือไม่รับผิดชอบพอ แต่เรากำลังปกป้องและยืนหยัดเพื่อสุขภาพกายใจของเรา เช่น งานที่ผู้อำนวจการโรงเรียนมีคำสั่งให้ต้องทำให้เสร็จวันนี้ แต่เป็นงานท่ีนอกเหนือความรับผิดชอบของเรา หรือเป็นงานที่เพื่อนคนอื่น ๆ ฝากให้ช่วยทำ เราอาจใช้วิธีการ ดังนี้
> ก่อนตอบตกลง บอกเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าก่อนว่า ขีดจำกัดของเรา ทำได้แค่ไหน เช่น งานนี้เราใช้เวลา 2 วันนะ ทำตอนนี้เลยไม่ได้ เพราะติดงานอื่นอยู่ ฯลฯ
> ก่อนรับงานมา สอบถามความตั้งใจในการมอบหมายงานชิ้นนี้ ถ้าเราต้องทำงานชิ้นนี้ตลอด จะส่งผลอย่างไรกับการงานอื่น ๆ ของเรา
ครูจุ๊ยเสริมว่า ในบริบทของโรงเรียนไทยอาจไม่ใช่วิธีการที่ง่ายดายนัก แต่เชื่อว่าคุณครูสามารถฝึกฝนการต่อรองเพื่อตัวเองได้ “เราอาจรู้สึกยากที่จะปฏิเสธในวัฒนธรรมเกรงใจแบบไทย รอบแรกๆ อาจยาก แต่เราต้องฝึกปฏิเสธอย่างสุภาพและการสื่อสารเหตุผล เราทุกคนเป็นมนุษย์และมีสิทธิปฏิเสธได้นะคะ ค่อยๆ เริ่มที่ละนิด”
แน่นอนว่าเรามีสิทธิปกป้องสุขภาวะในชีวิตตัวเอง แต่ระบบเองก็มีผลไม่น้อยในการส่งเสริมหรือเอื้อให้สุขภาวะทางกายใจครูดีขึ้นได้เหมือนกัน การพูดเรื่องสุขภาวะในการทำงานของครู จึงต้องพูดในแง่การปรับระบบเพื่อให้เอื้อกับ work-life balance และคุณภาพชีวิตของบุคลากรทางการศึกษาด้วย
ครู Kai ยกตัวอย่างจากประเทศสิงคโปร์ว่า จะมีคณะกรรมการประจำโรงเรียนที่ดูแลเรื่องสุขภาวะของครู โดยกระทรวงการศึกษาฯ จะมีการออกนโยบาย เกณฑ์ โครงสร้าง แนวปฏิบัติหรือมาตรการต่างๆ เพื่อดูแลสุขภาพใจของครู เมื่อ well-being ครูดี ก็ส่งผลการต่อการทำงานของครูให้ดีขึ้นด้วย insKru มองว่าครูไทยเราก็สามารถนำมาปรับใช้ได้เหมือนกันนะ
เริ่มจากโรงเรียน คุณครูอาจรวมกลุ่มกันสร้างโครงสร้างในการทำงานเล็กๆ (หรือถ้าไปถึงผู้อำนวจการได้ก็เยี่ยมเลย) ช่วยกันคิดนโยบายการติดต่องาน เช่น ไม่ติดต่อเรื่องงานหรือไม่ตอบหลัง 1 ทุ่ม สื่อสารให้ทั่วถึง สร้างความเข้าใจกับคุณครูทั้งโรงเรียน บุคลากรในโรงเรียน ผู้ปกครองและนักเรียนด้วย นโยบายการประชุม งดประชุมศุกร์บ่าย หรือกำหนดเวลาประชุมให้เป๊ะ (เช่น กำหนดเวลาไม่เกิน 1 ชม.) ****จะได้ไม่ลากยาวกินเวลาพักผ่อนหรือมีงานต่อเนื่องไปถึงวันเสาร์-อาทิตย์เป็นการตั้งบรรทัดฐานใหม่ในการทำงาน ขีดเส้นพื้นที่ส่วนตัวระหว่าง ชีวิต-งาน ให้ชัดเจน
สายด่วนดูแลใจครู กระทรวงศึกษาฯ สหภาพครู และโรงเรียนมีการจัดสายด่วน สำหรับคุณครูที่เครียดจนทนไม่ไหวให้สามารถโทรปรึกษาฟรีได้ ทำให้ครูมีทางเลือกในการปรึกษาจากหลายหน่วยงาน จัดหานักจิตวิทยาหรือนักให้คำปรึกษาเอง ซึ่งถูกฝึกมาเพื่อให้ความช่วยเหลือ ให้คำปรึกษาได้อย่างมืออาชีพ
ผลักดันสหภาพครู สิงคโปร์ก่อตั้งสหภาพครูมากว่า 75 ปีแล้ว เพื่อมาช่วยเรื่องค่าแรงที่เท่าเทียมกัน สำหรับทุกคน ทุกเชื้อชาติและเพศ ตามมาด้วยสหภาพวิชาชีพต่างๆ เพื่อดูแลสนับสนุนวิชาชีพนั้น ๆ การรวมตัวกันของอาชีพต่าง ๆ ข้ึนเป็นสหภาพเป็นการรวมกระบอกเสียง เพื่อช่วยปกป้อง เรียกร้องสิทธิในการมีสุขภาวะและสวัสดิการที่ดี
จะเห็นว่านอกจากการดูแลใจตัวเองที่เราทำได้แล้ว เราต้องการโครงสร้างรัฐที่สนับสนุนและเอื้อต่อสภาพการทำงานที่ดีของเราด้วย ไม่ใช่ความรับผิดชอบของปัจเจกเพียงอย่างเดียว เพราะ “สุขภาพจิตไม่เคยเป็นเรื่องส่วนตัว”
การเป็นครูคือ “งาน” อย่าลืมว่าเราทำผิดได้ ปฏิเสธได้ ไม่ไหวได้
เราทำงานสอน เป็นครู แต่เหนือสิ่งอื่นใดเราก็เป็นคนเช่นกัน
คุณครูไม่จำเป็นต้องเป็นทุกอย่างให้ทุกคน
เพราะคนที่จะอยู่กับเราไปจนสุดทางคือตัวคุณครูเอง
การปกป้องสิทธิในการมีสุขภาวะที่ดีของเราจึงเป็นเรื่องจำเป็น
เพื่อให้ครูต้องได้ใช้ชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่แค่ดำรงอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น
เพราะ “ครูไม่ใช่เทียนไข แต่ครูคือมนุษย์คนหนึ่ง” :-)
แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru
เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย
ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!