inskru

ถ้าดูแลครูให้ดี ครูก็จะดูแลเด็กให้ดีได้เช่นกัน

0
0
ภาพประกอบไอเดีย ถ้าดูแลครูให้ดี ครูก็จะดูแลเด็กให้ดีได้เช่นกัน

Recap insLive สหภาพครูซีรีส์: ถ้าดูแลครูให้ดี ครูก็จะดูแลเด็กให้ดีเช่นกัน ครูจุ๊ย กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ ชวนครู Kai Low จากสหภาพครูสิงคโปร์ และครูทิว จากเพจครูขอสอน มาแลกเปลี่ยนกันถึงแง่มุมการดูแลใจคุณครู

สุขภาวะกายใจครู ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว นอกจากครูดูแลใจตัวเองแล้ว ระบบหรือโครงสร้างแบบไหนจะช่วยดูแลครูได้บ้าง?


คนมักเปรียบเทียบให้ครูเป็น “เทียนส่องแสงสว่าง” อาจดูเป็นคำที่สวยงาม แต่ครู Kai Low จากสหภาพครูสิงคโปร์ มองว่าแนวคิดนี้มีปัญหาต่อการดูแลสุขภาวะกายใจของครูนะ เพราะเป็นแนวคิดที่ส่งเสริมให้ครูต้อง “ทำงานให้ดีที่สุด แม้จะสิ่งนั้นจะกัดกินชีวิตส่วนตัวก็ตาม” เหมือนเทียนที่ใช้พลังงานจากการเผามอดตัวเองเพื่อส่องแสง แต่เทียนแท่งหนึ่งไม่ได้อยู่ได้ตลอดไป แรงกายแรงใจและ passion ของเรามีวันหมดได้

หากเทียนที่ชื่อว่า “คุณครู” กำลังเกิดอาหารหมดไฟ (burn out) นอกจากคุณครูจะต้องดูแลตัวเองมากขึ้นแล้ว ใครหรือระบบการทำงานแบบไหนที่ควรมีส่วนร่วมรับผิดชอบสุขภาวะของครูบ้างนะ ?


ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจคำว่า สุขภาวะ (Well-being) กันก่อน นี่เป็นเรื่องที่ต้องมองแบบองค์รวมและหาสมดุลจาก 3 สิ่งเหล่านี้ที่เชื่อมโยงส่งผลถึงกัน

  1. สุขภาพกายที่ดี (Body) กินอาหารมีโภชนาการตามเวลา ออกกำลังกาย (อาจเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายระหว่างวันหรือเริ่มจากออกกำลังเบา ๆ ก่อนก็ได้นะ) นอนหลับเต็มอิ่ม 6-8 ชั่วโมง ร่างกายไม่เหนื่อยล้า
  2. สุขภาพจิตที่ดี (Mind) จัดการความคิดและการทำงานได้อย่างเหมาะสม
  3. สุขภาพทางความสัมพันธ์ที่ดี (Heart) ปฏิสัมพันธ์ ควบคุมอารมณ์ ปรับตัว ใช้ชีวิตในสังคมได้ มีระบบสนับสนุนที่ดี (Support System) มีพื้นที่ปลอดภัย ฯลฯ


มาลองเช็คดู Burn out checklist กัน คุณครูมีอาการเหล่านี้บ้างหรือเปล่านะ?

  • รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่มีความสุข (Feeling Low/Sadness) เริ่มไม่มีกะจิตกะใจจะทำงาน ไม่เห็นคุณค่างานหรือการสอน
  • โรคภัยไข้เจ็บ (Physical Ailments) ปวดตัว ปวดไหล่ หาหมอ กินยายังไงก็ไม่หาย นี่อาจเป็นสัญญาณที่ร่างกายพยายามจัดการกับความเครียดเมื่อสภาพจิตใจเราเริ่มรับมือไม่ไหว จึงออกอาการทางกาย ทางจิตวิทยาเรียกว่า Psychoformatic Response เช่น นอนกัดฟัน ตื่นมาปวดหัว ฯลฯ
  • ความคิดแทรกซ้อน-ย้ำคิด (Intrusive Thoughts) เริ่มย้ำคิดว่าทำดีหรือยัง ครบไหม ถูกต้องไหม ให้เราสงสัยตัวเองว่าเป็นบ่อยไหม อาการนี้ส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตหรือเปล่า
  • ยากที่จะจดจ่อ (Difficult to Concentrate) ทำงานไม่ได้ ไม่เสร็จ ไม่ใช่ไม่พยายาม แต่เหมือนใจบอกว่าเราต้องการพักแล้ว
  • เริ่มเก็บตัว (Social Withdrawal) เพราะเริ่มเหนื่อยเกินไป หรือมีงานต้องทำให้เสร็จ จึงทำให้ไม่เข้าสังคมอย่างที่เคยเป็น
  • ไม่สามารถจุดประกายความสุข (Unable to Spark Joy) ไม่มีความสุขหรือตื่นเต้นกับสิ่งที่ชอบอีกต่อไป เช่น เคยชอบและสนุกกับการทำอาหารมาก แต่เริ่มรู้สึกว่าเป็นแค่งานหนึ่งที่ต้องทำ ฯลฯ
  • ภาวะวิตกกังวลฉับพลัน (Panick Attacks) กลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คิดถึงสถานการณ์ที่แย่ที่สุด (Worst Case Scenario) เริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่อาจควบคุมอะไรได้
หมายเหตุ ทั้ง panic attack และ anxiety attack คือ ภาวะวิตกกังวลที่มีความใกล้เคียงกัน อาการบางส่วนอาจคล้ายกัน เช่น หัวใจเต้นเร็ว หายใจหอบ มีอาการชาตามร่างกาย รู้สึกว่ากำลังจะตายหรือทุกอย่างกำลังแย่อย่างไม่อาจควบคุมไม่ได้ ฯลฯ ต่างกันที่ anxiety มักเป็นเรื่องที่เราระบุหรือรู้สาเหตุ เมื่อตัดหรือหยุดสาเหตุนั้นจะมีอาการดีขึ้นได้ ในขณะที่อาการ panic อาจเกิดขึ้นได้ทันทีทันใด แม้เราจะระบุสาเหตุความกังวลไม่ได้แน่ชัด ทั้งสองอาการมีอยู่จริง หากคุณครูท่านไหนมีอาการเหล่านี้ แนะนำให้พบนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมนะ


  • พฤติกรรมเสพติด (Addictive Behaviours) เช่น การติดกาแฟ ติดยาแก้ปวด ติดยาแก้ไอ ติดใช้งานโซเชียลมีเดีย ติดการช็อปปิงออนไลน์ ฯลฯ ทำแบบเดิมซ้ำ ๆ โดยไม่รู้ตัว ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็นการใช้สิ่งเหล่านี้ เพื่อหลบหนีจากความเป็นจริงหรือสถานการณ์ ณ ปัจจุบันของเรา
  • เหนื่อยล้าสะสม (Chronic Fatigue) จากการทำงานหนัก รู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา ร่างกายไม่มีพลังงานแล้ว เช่น สอน ๆ อยู่ หัวว่างโล่ง ร่างกายกับใจไม่เชื่อมกัน ตื่นมาไม่อยากไปทำงาน

ลองสังเกตคนรอบตัวถ้ามีอาการเริ่มมองลบๆ พูดประชด เล่นมุขเสียดสี ด่าทอสภาพแวดล้อมรอบตัวเกินไป อาจเป็นสัญญาณหนึ่งของการเหนื่อยและหมดหวังได้ ถ้ามีพฤติกรรมอย่างที่กล่าวมามากกว่า 2 อาทิตย์ ถือเป็นสัญญาณการหมดไฟที่เราควรบอกใครสักคน พัก หรือพบผู้เชี่ยวชาญ


ชวนครูฝึกต่อรองเพื่อตัวเอง

คุณครูทุกคนปกป้องการมีสิทธิที่ตัวเองจะมีสุขภาวะที่ดีได้ ด้วยการปฏิเสธงานที่มีผลเสียต่อสุขภาพจิตของเรา

การปฏิเสธ ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นครูที่ไม่ดีหรือไม่รับผิดชอบพอ แต่เรากำลังปกป้องและยืนหยัดเพื่อสุขภาพกายใจของเรา เช่น งานที่ผู้อำนวจการโรงเรียนมีคำสั่งให้ต้องทำให้เสร็จวันนี้ แต่เป็นงานท่ีนอกเหนือความรับผิดชอบของเรา หรือเป็นงานที่เพื่อนคนอื่น ๆ ฝากให้ช่วยทำ เราอาจใช้วิธีการ ดังนี้

> ก่อนตอบตกลง บอกเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าก่อนว่า ขีดจำกัดของเรา ทำได้แค่ไหน เช่น งานนี้เราใช้เวลา 2 วันนะ ทำตอนนี้เลยไม่ได้ เพราะติดงานอื่นอยู่ ฯลฯ

> ก่อนรับงานมา สอบถามความตั้งใจในการมอบหมายงานชิ้นนี้ ถ้าเราต้องทำงานชิ้นนี้ตลอด จะส่งผลอย่างไรกับการงานอื่น ๆ ของเรา

ครูจุ๊ยเสริมว่า ในบริบทของโรงเรียนไทยอาจไม่ใช่วิธีการที่ง่ายดายนัก แต่เชื่อว่าคุณครูสามารถฝึกฝนการต่อรองเพื่อตัวเองได้ “เราอาจรู้สึกยากที่จะปฏิเสธในวัฒนธรรมเกรงใจแบบไทย รอบแรกๆ อาจยาก แต่เราต้องฝึกปฏิเสธอย่างสุภาพและการสื่อสารเหตุผล เราทุกคนเป็นมนุษย์และมีสิทธิปฏิเสธได้นะคะ ค่อยๆ เริ่มที่ละนิด”

เมื่อครูสุขภาพกายใจดีก่อน เมื่อนั้นครูถึงจะดูแลเด็กได้

  1. ขีดเส้นให้ชัด จัดการเพื่อนร่วมงาน Toxic ได้ (Set Boundaries) ระหว่างเพื่อนร่วมงานหรือกระทั่งนักเรียน เช่น เราไม่จำเป็นต้องบอกข้อมูลส่วนตัวของเรา อยู่กับใคร มีแฟนหรือยัง ฯลฯ หรือถ้าไม่อยากฟังเรื่องนินทาเราก็หลีกเลี่ยงไม่ฟัง ถ้าหากเพื่อนร่วมงานพูดไม่ดีกับเรา สื่อสารกับเขาเลยว่าเราไม่โอเคกับการกระทำแบบนี้ อาจจะต้องแจ้งหรือรายงานผู้อำนวยการนะ เพราะสิ่งที่เขาทำคุกคามเรา หรือทำร้ายจิตใจเราเกินไป ฯลฯ
  2. ใช้ชีวิตประจำวันที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดีได้ จัดความสำคัญให้ตารางชีวิตตัวเอง แล้วลองสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานให้ชัดเจน เช่น เราจะใช้เวลา 2-3 ชม. ในแต่ละวันเพื่อออกกำลังกายนะ เวลานี้ติดต่อได้ เวลานั้นติดต่อไม่ได้ เวลานี้เราสะดวกตอบ-ไม่สะดวกตอบ เป็นการสื่อสารที่เป็นกลางและดูเป็นมืออาชีพ ลองชวนเพื่อนร่วมงานมาจัดตารางหรือคุยไปพร้อมกันก็ได้

แน่นอนว่าเรามีสิทธิปกป้องสุขภาวะในชีวิตตัวเอง แต่ระบบเองก็มีผลไม่น้อยในการส่งเสริมหรือเอื้อให้สุขภาวะทางกายใจครูดีขึ้นได้เหมือนกัน การพูดเรื่องสุขภาวะในการทำงานของครู จึงต้องพูดในแง่การปรับระบบเพื่อให้เอื้อกับ work-life balance และคุณภาพชีวิตของบุคลากรทางการศึกษาด้วย


ใครรับผิดชอบสุขภาวะของครูบ้าง

ครู Kai ยกตัวอย่างจากประเทศสิงคโปร์ว่า จะมีคณะกรรมการประจำโรงเรียนที่ดูแลเรื่องสุขภาวะของครู ดยกระทรวงการศึกษาฯ จะมีการออกนโยบาย เกณฑ์ โครงสร้าง แนวปฏิบัติหรือมาตรการต่างๆ เพื่อดูแลสุขภาพใจของครู เมื่อ well-being ครูดี ก็ส่งผลการต่อการทำงานของครูให้ดีขึ้นด้วย insKru มองว่าครูไทยเราก็สามารถนำมาปรับใช้ได้เหมือนกันนะ

เริ่มจากโรงเรียน คุณครูอาจรวมกลุ่มกันสร้างโครงสร้างในการทำงานเล็กๆ (หรือถ้าไปถึงผู้อำนวจการได้ก็เยี่ยมเลย) ช่วยกันคิดนโยบายการติดต่องาน เช่น ไม่ติดต่อเรื่องงานหรือไม่ตอบหลัง 1 ทุ่ม สื่อสารให้ทั่วถึง สร้างความเข้าใจกับคุณครูทั้งโรงเรียน บุคลากรในโรงเรียน ผู้ปกครองและนักเรียนด้วย นโยบายการประชุม งดประชุมศุกร์บ่าย หรือกำหนดเวลาประชุมให้เป๊ะ (เช่น กำหนดเวลาไม่เกิน 1 ชม.) ****จะได้ไม่ลากยาวกินเวลาพักผ่อนหรือมีงานต่อเนื่องไปถึงวันเสาร์-อาทิตย์เป็นการตั้งบรรทัดฐานใหม่ในการทำงาน ขีดเส้นพื้นที่ส่วนตัวระหว่าง ชีวิต-งาน ให้ชัดเจน

สายด่วนดูแลใจครู กระทรวงศึกษาฯ สหภาพครู และโรงเรียนมีการจัดสายด่วน สำหรับคุณครูที่เครียดจนทนไม่ไหวให้สามารถโทรปรึกษาฟรีได้ ทำให้ครูมีทางเลือกในการปรึกษาจากหลายหน่วยงาน จัดหานักจิตวิทยาหรือนักให้คำปรึกษาเอง ซึ่งถูกฝึกมาเพื่อให้ความช่วยเหลือ ให้คำปรึกษาได้อย่างมืออาชีพ

ผลักดันสหภาพครู สิงคโปร์ก่อตั้งสหภาพครูมากว่า 75 ปีแล้ว เพื่อมาช่วยเรื่องค่าแรงที่เท่าเทียมกัน สำหรับทุกคน ทุกเชื้อชาติและเพศ ตามมาด้วยสหภาพวิชาชีพต่างๆ เพื่อดูแลสนับสนุนวิชาชีพนั้น ๆ การรวมตัวกันของอาชีพต่าง ๆ ข้ึนเป็นสหภาพเป็นการรวมกระบอกเสียง เพื่อช่วยปกป้อง เรียกร้องสิทธิในการมีสุขภาวะและสวัสดิการที่ดี


จะเห็นว่านอกจากการดูแลใจตัวเองที่เราทำได้แล้ว เราต้องการโครงสร้างรัฐที่สนับสนุนและเอื้อต่อสภาพการทำงานที่ดีของเราด้วย ไม่ใช่ความรับผิดชอบของปัจเจกเพียงอย่างเดียว เพราะ “สุขภาพจิตไม่เคยเป็นเรื่องส่วนตัว”


การเป็นครูคือ “งาน” อย่าลืมว่าเราทำผิดได้ ปฏิเสธได้ ไม่ไหวได้

เราทำงานสอน เป็นครู แต่เหนือสิ่งอื่นใดเราก็เป็นคนเช่นกัน

คุณครูไม่จำเป็นต้องเป็นทุกอย่างให้ทุกคน

เพราะคนที่จะอยู่กับเราไปจนสุดทางคือตัวคุณครูเอง

การปกป้องสิทธิในการมีสุขภาวะที่ดีของเราจึงเป็นเรื่องจำเป็น

เพื่อให้ครูต้องได้ใช้ชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่แค่ดำรงอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น

เพราะ “ครูไม่ใช่เทียนไข แต่ครูคือมนุษย์คนหนึ่ง” :-)

ไอเดียนี้เป็นไงบ้าง?

0
ได้แรงบันดาลใจ
0
ลงไอเดียอีกน้า~
avatar-frame
แบ่งปันโดย
insinsKru
insKru Official Account เราจะคอยผลักดันและเชิญชวนคุณครูมาร่วมสร้างสรรค์ไอเดียการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการศึกษาไทยต่อไป

อยากร่วมแลกเปลี่ยน?

please login

แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru

เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย

icon-please-commentมาเป็นคนแรกที่แลกเปลี่ยนสิ!
credit idea

ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!

ไอเดียน่าอ่านต่อ