เมื่อถึงเดือนสามตามปฏิทินจันทรคติ หรือฮีต 12 คอง 14 ของชาวภาคอีสาน ผู้คนต่างให้ความสำคัญกับบุญข้าวจี่เป็นอย่างมาก เพราะเป็นกิจกรรมที่เชื่อมความสัมพันธ์ของคนในชุมชนได้เป็นอย่างดี และถือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งที่ชุมชนมีความเป็นเอกภาพ ศรัทธาต่อศาสนา เหล่าเด็กๆ ผู้กล้าจึงขอสืบสานงานบุญข้าวจี่ จะสนุกแค่ไหนไปติดตามกันเลย
เริ่มต้นสัปดาห์ด้วยการเรียนรู้การเดินทางของเมล็ดข้าว ซึ่งผลผลิตที่เรียกว่าเมล็ดข้าวคือสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าการทำนาได้สิ้นสุดลงแล้ว เราจึงอยากให้เด็กๆ เห็นว่าจากเมล็ดข้าวเปลือก กลายมาเป็นข้าวให้พวกเรารับประทานได้อย่างไร เด็กๆ จึงพาเราออกเดินทางไปยังโรงสีข้าวตามวลเพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของเมล็ดข้าว ซึ่งเด็กๆ สนใจกันใหญ่เลยว่าในโรงสีข้าวมีอะไรบ้าง จากนั้นคุณตาก็สีข้าวให้เด็กๆ ดู ไป 1 สเต็ป ซึ่งเราเห็นได้ว่า เมล็ดข้าว 1 เมล็ด สามารถใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็น เมล็ดข้าวสาร ปลายข้าว แกลบ รำข้าว ทำให้เราย้อนนึกถึงคำที่ว่าทุกคนล้วนมีคุณค่าในที่ของตน
จากนั้นเด็กๆ ก็จะบันทึกผลเมื่อเดินทางกลับถึงโรงเรียน เราก็ให้เด็กๆ สรุปขั้นตอนการเดินทางของเมล็ดข้าว และดูความแตกต่างระหว่างเมล็ดข้าวเหนียวและข้าวเจ้าอีกด้วย และปิดท้ายวันด้วยการทำข้าวจี่ยักษ์
วันที่ 2 เราให้การบ้านเด็กๆ ว่าให้เตรียมอาหารที่คาดว่ามีแป้งเป็นส่วนประกอบมาคนละ 1 ชนิด ซึ่งทุกคนต่างภูมิใจนำเสนอของตนเองเป็นอย่างยิ่ง
จากนั้นก็ให้เด็กๆ หยดเบตาดีนลงไปในอาหาร เราก็บอกไปว่า สังเกตดีๆ ถ้ามีแป้งมันจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง เมื่อหยดครบทุกชนิดแล้วเราก็มา
สรุปร่วมกันว่าอันไหนเปลี่ยนแปลงบ้าง ซึ่งในระหว่างที่เรียกชื่ออาหารเราจะตามด้วยชื่อเด็กที่นำอาหารชนิดนั้นมาด้วยทุกครั้ง เขาก็จะแบบยิ้มกรุ้มกริ่ม ยิ่งมีแป้งก็จะเฮกันใหญ่
ทดลองเสร็จแล้วก็มาบันทึกข้อมูลกัน ซึ่งเราให้เด็กๆ วาดสิ่งที่กลุ่มตัวเองนำมาก่อนแล้วตามด้วยเพื่อนกลุ่มอื่น และภาพที่เห็นด้านขวาที่เป็นสีดำ เขาบอกว่า ก็ของหนูเป็นสีดำอ่ะคุณครู ซึ่งมันก็ดำจริงๆ ตามที่เขาว่าด้วยนะ 555+ เราก็เลยบอกว่า ถ้ามันเปลี่ยนจากสีน้ำตาลเป็นสีอื่นใดๆ ก็แสดงว่ามีแป้ง แสดงให้เห็นว่าเด็กมีความซื่อตรงต่อความรู้สึกอย่างยิ่ง
วันที่ 3 บอกเลยว่าม่วนกุ๊บ เมื่อถึงเวลาแห่ข้าวจี่ ซึ่งเด็กที่นี่เขาค่อนข้างอินกับการแห่ดอกไม้ การแห่พระเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอถึงแห่ข้าวจี่ยิ่งทวีคูณไปอีก ในขบวนแห่ก็จะประกอบไปด้วย พระ ที่เสนอตัวเองขึ้นมาเลยว่าต้องหนูเท่านั้นนะคุงคู!! คนตีกลองยาว คนแบกข้าวจี่ และผู้เข้าร่วมขบวนแห่
ขั้นตอนนี้เด็กๆ อินสุด คนที่เป็นพระนิ่งมาก(สวมบทเป๊ะสุด) เมื่อถวายดอกไม้มาให้พระเสร็จ ตามด้วยการพรมน้ำมนต์
ระหว่างพรมน้ำมนต์เด็กผู้ชายเสื้อเหลืองก็พนมมือขึ้นพร้อมกับพูดว่า "สาธุเด้อ สาธุ ข่อยอยากสุขภาพแข็งแรง ข่อยอยากเซาไอ ข่อยอยากเซากินยานำ สาธุ" เราก็แบบ OMG เนื่องจากสัปดาห์นี้อากาศสวิงมาก เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน เด็กป่วยเป็นแถบ เราก็ได้แต่ภาวนาว่า ให้หายไวไว้เด้ออ
บางคนถามถึงสงกรานต์แล้วเหรอ มะช่ายยยยค่าาา อันนี้จำลองกุ้มข้าวใหญ่ ที่ชาวบ้านจะนำข้าวเปลือกมารวมกันที่ศาลากลางหมู่บ้านจากนั้นพระก็จะสวดมนต์ สู่ขวัญข้าว ก็เลยเกิดการประยุกต์เป็นก่อเจดีย์ทราย ซึ่งอันนี้ช๊อตฟีลตั้งแต่สัมผัสแรก เด็กบอกเหม็นขี้หมามากคุณครู เราก็บอกไม่มีหรอก สักพักเด็กกำลังกวาดดินขึ้นเป็นกองร้องขึ้นมาว่า "ขี้หมาาาาาา" จากนั้นวงแตกทันที555+แล้วแบบ ไม่ได้มีแค่อันเดียวเราเก็บออกจากบ่อทรายเกือบ 20 ก้อน มันคงจะคิดว่าเป็นกระบะทรายมันแน่เลยยยยย พอเอาอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ออกไปแล้วเด็กๆ ก็ลงมือทำ ซึ่งผลงานที่ออกมาเด็กๆ ก็ชอบใจ (พรมน้ำก่อนนะคะไม่งั้นขึ้นรูปไม่ได้)
Signature ของงานนั่นคือข้าวจี่นั่นเองสิ่งแรกที่ประทับใจคือความน่ารักของผู้ปกครองในการเตรียมวัตถุดิบมาให้ หลายคนมาเป็นกระติ๊บข้าวน้อยก็มี
และทักษะแรกที่เด็กๆ ได้ทำคือการตอกไข่ ซึ่งบางคนเซียนมาก บากคนลงทั้งเปลือกก็มี ขั้นตอนต่อไปคือวุ่นวายสุด แย่งกันตีไข่ เราก็เลยแก้ปัญหาโดยการตีไข่คนละ 10 ที ครบ 10 แล้วเปลี่ยน เริ่มมีเสียงนับ 123... ขึ้นมา จากนั้นก็ปั้นข้าวเหนียว เสียบไม้ ย่างไฟ ทาไข่ ย่างไฟ และรับประทาน
หลังทำกิจกรรม เด็กบอก อร่อย ชอบ อยากทำอีก บางคนเอาใส่กระเป๋ากางเกงแล้วแอบกินตอนนอนด้วยทุกคนนนนน
ท้ายสัปดาห์ปิดด้วยการทำพิซซ่าเวียดนาม ซึ่งแป้งถือเป็นผลิตผลอย่างหนึ่งที่ทำมาจากข้าว ก่อนอื่นขอขอบคุณเตาย่างจากผญบ.แล้ว 1 ซึ่งการทำเด็กๆ ลงมือเองลงมือเองทุกขั้นตอนเมื่อถึงเวลารับประทานบางคนบอกจะไม่กินแต่เมื่อชิมแล้วกลับบอกอร่อย บางคนทำหน้าพะอืดพะอมเพราะขมต้นหอม แต่บางคนก็บอก ฉันว่ามันก็ไม่ขมเท่าไหร่นะ แต่มีคนหนึ่งบอกว่า เดี๋ยววันนี้จะไปเล่าให้คุณพ่อ คุณแม่ คุณตา คุณยาย และคนที่บ้าน ฟังว่าวันนี้พิซซ่าเวียดนามมันอร่อยมากๆ เลยนะ
ความรู้สึกเมื่อได้ยินคำนั้นแล้วค่อนข้างประทับใจมากๆ คงจะเป็น made my day ทั้งของเราและเด็กคนนั้นเลยก็ว่าได้
หลายคนถามว่า ทำไมขยันจัง จริงๆ เราไม่ได้ขยัน แต่เคยลองสอนแบบที่ไม่ได้ให้เด็กแสดงออกถึงการมีอยู่ของตนเองแล้ว แววตาเด็กมันฟ้องว่าไม่มีความสุข เราก็ยิ่งทุกข์ใจไปอีก ดังนั้น จงเชื่อมั่นในวิถีแห่งความสุข เพื่อความสุขและเสียงหัวเราะของมวลแห่งความสดใส
แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru
เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย
ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!