เรื่องมันมีอยู่ว่า..... คุณครูสอนแผนการเรียนภาษาญี่ปุ่น โดยวิชาในหลักๆในหลักสูตรก็มีทั้งวิชาพัฒนาทักษะภาษาญี่ปุ่น และวิชาเกี่ยวกับญี่ปุ่นศึกษา ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ การเมือง การปกครอง หลักการทำงานและธุรจกิจของครญี่ปุ่นด้วยนะ เด็กๆต้องเรียนทั้งภาษาและวัฒนธรรมเลย จึงเป็นไอเดียว่า ทำอย่างไรจะนำทั้งความรู้ด้านภาษาและวัฒนธรรม มาประยุกต์ให้เด็กๆได้สรุปองค์ความรู้ได้อย่างสร้างสรรค์และสนุกสนานมากกว่าการสอบย่อยรายบท คุณครูจึงได้สอบถามเด็กๆว่า เด็กๆชื่นชอบหรืออยากฝึกเรื่องอะไรมากที่สุดในส่วนภาษา และส่วนวัฒนธรรม ก็ได้คำตอบแล้วนำมาประยุกต์เป็นบอร์ดเกม ในชื่อ "บอร์ดเกมไล่ล่าอักษรคันจิผ่านประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น" สำหรับพัฒนาทักษะการอ่านและบอกความหมายของอักษรคันจิ รวมถึงได้นำความรู้จากวิชาประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมาตอบคำถามจากด่านในเกมด้วย Concept ของเกมก็คือ

ร่วมเดินทางไปกับเหล่าแมวเหมียว

ย้อนเวลาไล่ล่าอักษรคันจิในแต่ละยุคสมัย

ออกไปผจญภัยกัน !

..................................

การเล่นเกม จะใช้ผู้เล่นกลุ่มละ 5 – 6 คน

โดย 1 คน จะต้องมีหน้าที่ควบคุมเกมและถือคู่มือการเล่น

คนอื่น ๆ ที่เหลือ คือผู้เล่นเกม 

โดยจะต้องเล่น 2 รอบ แต่ละรอบจะต้องเปลี่ยนผู้กุมเกม

โดยสลับกันเป็นผู้เล่นและผู้คุมเกม

อุปกรณ์ในเกม คือ

วิธีเล่น

1.   เล่นควรมีจำนวน 5-6 คน

2.  กำหนดผู้เล่น 1 คน เป็นผู้คุมเกม ทำหน้าที่จ่าย-รับเหรียญแต้ม

แลกเหรียญแต้มและจ่ายการ์ดวิเศษต่าง ๆ การ์ดสุ่มคำถามและ

คอยบันทึกแต้มของผู้เล่นแต่ละคน

3.  ผู้คุมเกมกำหนดตัวเดินเกมคือหมุดแมวกระดาษ ให้ผู้เล่นคนละ 1 ตัว

4.  ผู้เล่นแต่ละคนจะได้รับแต้มแรกเริ่มคนละ 20 แต้ม 

5.  ผู้เล่นแต่ละคนจะได้รับการ์ดตัวช่วย 3 ใบ ดังนี้

การ์ดดาบศักดิ์สิทธิ์             1    ใบ

การ์ดกระจกศักดิ์สิทธิ์           1    ใบ

การ์ดอัญมณีหยกศักดิ์สิทธิ์     1    ใบ

แต่ละใบสามารถใช้ได้ 1 ครั้ง เท่านั้น

6.  กำหนดลำดับการเดินหมุดของผู้เล่น โดยให้ทุกคนสุ่มหยิบการ์ดกำหนดลำดับ

ผู้เล่นที่จับการ์ดกำหนดลำดับการเดินหมุดหมายเลข 1 เป็นผู้เริ่มเกมก่อน โดยได้เปิดการ์ดคำกริยาในด่านที่ 1 ก่อน และตามด้วยคนที่ 2 3 4 5 ตามลำดับ ระหว่างที่เล่น ให้ผู้เล่นทุกคนเลื่อนหมุดแมวไปตามด่านที่ผ่านด้วย หากอ่านคันจิและบอกความหมายในด่านนั้นไม่ได้ จะไม่สามารถเคลื่อนหมุดได้ จะต้องรอเล่นอีกครั้งเมื่อถึงรอบของตนเอง

เมื่อไปถึงด่าน ผู้เล่นจะต้องอ่านคันจิที่กำหนดให้และบอกความหมายของคันจิให้เพื่อนฟัง มีเวลาคิดไม่เกิน 5 วินาที โดยเพื่อนๆจะช่วยกันนับ 1 2 3 4 5 หากตอบทันเวลา ทำได้ตามเงื่อนไขทั้งหมด จะได้รับแต้มครั้งละ 1 แต้ม หากทำไม่ได้ตามเงื่อนไขทั้งหมดจะไม่ได้แต้ม ผู้คุมเกมจะเป็นผู้ดูคำตอบในคู่มือไปด้วยและหากผู้เล่นตอบถูก ผู้คุมเกมจะบอกว่าถูกและแจกแต้มให้ 

*ในเวลา 5 วินาที หากไม่รู้คำตอบ สามารถใช้การ์ดตัวช่วยได้ โดยต้องรีบบอกว่าจะขอใช้การ์ดตัวช่วยก่อนหมดเวลา 

หากตอบทันแต่ตอบผิดให้วางการ์ดคันจิที่อ่านไม่ได้ลงด้านล่างสุดของกองการ์ด 

เพื่อให้ผู้เล่นคนอื่นได้ผันต่อไป

7. การ์ดคันจิที่อ่านถูก ให้หยิบออกจากกองการ์ดทันที

8. เมื่อผู้เล่นเดินถึงด่านที่มีสัญลักษณ์  "จิ้งจอห"ผู้เล่นจะต้องสุ่มการ์ดที่อยู่ในกล่องวิเศษขึ้นมา 1 ใบ แล้วทำตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในการ์ดนั้น ๆ รวมถึงในกล่องวิเศษมีการ์ดคำถามเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เป็นการ์ดสุ่ม หากจับได้การ์ดคำถามสุ่ม จะต้องตอบคำถามในการ์ดให้ถูกต้อง

จึงจะได้แต้มพิเศษ 5 แต้ม ซึ่ง หากผู้เล่นตอบไม่ได้ก็จะไม่ได้แต้มและให้ใส่การ์ดคำถามสุ่มลงในกล่องเพื่อให้ผู้เล่นคนอื่นๆ สุ่มจับการ์ดต่อไป

การจบเกม

ใช้เวลาในการเล่นเกม 50 นาที  เมื่อหมดเวลาหาก

ผู้เล่นคนใดมีแต้มมากที่สุด จะเป็นผู้ชนะในเกมนี้

บอร์ดเกมมีคู่มือการใช้และเฉลยคำตอบด้วยนะ

ถึงครูไม่อยู่ เด็กๆก็นำมาเล่นเองได้ด้วยนะ

ตัวอย่างคู่มือการใช้งาน โหลดได้เลย !

มาดูตอนเด็กๆได้ใช้บอร์ดเกมในชั้นเรียนกัน

จากการสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ ด้วย“บอร์ดเกมไล่ล่าอักษรคันจิผ่านประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น”  พบว่าผู้ใช้บอร์ดเกมมีความพึงพอใจโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด

          เด็กๆได้ฝึกนำความรู้ออกมาใช้ผ่านการเล่นเกม ได้พัฒนาทักษะด้านภาษาญี่ปุ่น ด้านการอ่านและเข้าใจความหมายของตัวอักษรคันจิเนื่องจากการจัดกิจกรรมด้วยวิธีดังกล่าวเปิดโอกาสให้ผู้เรียนภาษาญี่ปุ่นมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมร่วมกัน สามารถเรียนรู้ ตรวจสอบความถูกต้องของปัญหาร่วมกันได้ผ่านคู่มือเกมที่จัดให้ ได้ฝนฝนซ้ำ ๆ จนเกิดทักษะและการจดจำ ได้รู้จักการช่วยเหลือกัน มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้เล่นในกลุ่ม นอกจากนั้นยังสามารถบูรณาการความรู้กับรายวิชาประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ในด้านของการศึกษาวัฒนธรรมญี่ปุ่นอีกด้วย

ข้อเสนอแนะ

             ควรพัฒนาให้ “บอร์ดเกมไล่ล่าอักษรคันจิผ่านประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น”  สามารถใช้ได้หลากหลายบทเรียนหรือหลากหลายเนื้อหา

          ควรนำไปพัฒนาต่อในรูปแบบออนไลน์ด้วย จะน่าสนใจมากขึ้นและด็กๆเข้าถึงมากขึ้น