inskru

ล้อมวงคุยหาวิธีปิดสวิตซ์ 3 ป. ปัญหาการศึกษาไทย

0
0
ภาพประกอบไอเดีย ล้อมวงคุยหาวิธีปิดสวิตซ์ 3 ป. ปัญหาการศึกษาไทย

เนื้อหาสรุปย่อจากเสวนา ส่งเสียงถึง(ว่าที่)นายกฯ จาก insKru Festival 2023 วันที่ 29-30 เมษายน 2566 ณ สวนโมกข์ กรุงเทพฯ  

เปิดความเป็นไปได้ผ่านข้อจำกัดของนโยบายการศึกษาไทย ผ่านมุมมองทางด้านเศรษฐกิจ มุมมองด้านพัฒนาการของผู้เรียน มุมมองด้านสังคมและวัฒนธรรม รวมถึงมุมมองในการปฏิบัติงานจากผู้อำนวยการโรงเรียนแล้วก็คุณครูที่ปฏิบัติการสอนอยู่ในหน้างานจริง ว่าการศึกษาไทยยังขาดอะไรบ้าง โดยไม่ลืมคำนึงถึงสิทธิของนักเรียนรวมถึงสิทธิของพลเมือง ในวงคุยนี้มีศน.โจ๊ก-ณัฏฐเมธร์ ดุลคนิต ศึกษานิเทศก์ จากสพม.กท 1 ชวน สกาย-ทัฬหวิชญ์ ฐิติรัตน์สกุล นักวิจัยจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มาแลกเปลี่ยนกับ ผอ.เจี๊ยบ-ภัทรียา คชหิรัญ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดสุวรรณาราม (ดีราษฎร์รังสฤษดิ์) ครูบอส-พรพรรษ อัมพรพฤติ โรงเรียนวัดนวลนรดิษ ครูโอ-ปราศรัย เจตสันติ์ จาก Thai Civic Education

การได้มาซึ่งนโยบายการศึกษานั้น ล้วนเกี่ยวข้องกับการวางเป้าหมายของประเทศ และการจัดการศึกษาของชาติในภาพรวม เพื่อออกแบบการศึกษาที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจ ตอบโจทย์พัฒนาการของผู้เรียน รวมถึงตอบโจทย์การทำงานของโรงเรียนและคุณครูที่อยู่ในชั้นเรียน รวมถึงสนับสนุนพหุวัฒนธรรม หน้าตาของนโยบายเหล่านั้นควรจะเป็นอย่างไร ในขณะที่เกิดวงเสวนานี้ขึ้น เป็นช่วงการหาเสียงเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2566 หลายพรรคการเมืองได้นำเสนอนโยบายเกี่ยวกับการศึกษาที่แตกต่างหลากหลายแง่มุม ศน.โจ๊กกล่าวด้วยความหวังก่อนเริ่มต้นเข้าเนื้อหาว่า “การที่เราพูดคุยในวันนี้อาจจะเป็นหนึ่งเสียงเล็กๆ ที่พรรคการเมืองอาจจะหยิบยกไปพิจารณาเพิ่มเติม ที่อาจจะดูแล้วครอบคลุมมากยิ่งขึ้น”

3 ป สภาพปัญหาการศึกษาไทย: เป้าหมายการศึกษาไม่ชัดเจน ประสิทธิภาพต่ำ ปฏิรูปวัฒนธรรมในโรงเรียนไม่สำเร็จ

สกาย-ทัฬหวิชญ์ ฐิติรัตน์สกุล นักวิจัยจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เริ่มต้นประเด็นว่าในการพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจระดับชาติหรือในระดับนานาชาตินั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าแล้วแรงงานที่จะทำให้กลไกต่างๆ ขับเคลื่อนไปได้ ล้วนมาจากผลผลิตของการศึกษา เป้าหมายของพรรคการเมืองหลายค่อนข้างสูงจากของเดิมที่เรามีอยู่แล้ว เมื่อประเมินจากคะแนน PISA 2018 ของเด็กไทย เราต่างเห็นตรงกันว่า คะแนนการอ่าน คะแนนการนำคณิตศาสตร์มาใช้ในชีวิตประจำวัน คะแนนการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ถือว่าค่อนข้างต่ำมาก มีเด็กเกินกว่า 50% ทำสิ่งพื้นฐานเหล่านี้ไม่ได้ เมื่อเรียนจบไปเรียนต่อในชั้นที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระดับอาชีวะ หรือระดับอุดมศึกษา ก็ต้องไปปูพื้นฐานกันใหม่ ซึ่งการใช้เวลาไปกับการปูพื้นฐานที่ทำกันอยู่อย่างนี้ การเข้าไปทำงานก็อาจจะไม่มีศักยภาพมากพอ

หลายคนพูดว่า โควิด 19 ทำให้เกิด Learning Loss ทำให้สภาพปัญหามันๆหนักขึ้นกว่าเดิมจากปี 2018 เดิมไปเรียนก็อาจจะไม่ค่อยได้อะไรมา ไม่ได้ไปเรียนอีกก็อาจจะหนักกว่าเดิม โดยเฉพาะกับกลุ่มเด็กยากจนหรือเด็กเล็กที่การพัฒนาการเรียนรู้สำคัญมาก “พรรคการเมืองทั้งหลายออกนโยบายมา เรียกร้องให้คนมันต้องมีคุณภาพมากขึ้น มีศักยภาพมากขึ้น แต่เป้าเดิมเราก็ยังไม่ได้ ของเดิมก็ถูกทำให้ถอยลงไป อนาคตข้างหน้าเป้ามันก็ไปไกลกว่าเดิมอีก” ทัฬหวิชญ์สรุปให้เห็นสภาพปัญหาอันน่ากังวลที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน

“3 ปัญหาระดับระบบของการศึกษาไทย ผมขอเรียกว่าเป็น 3 ป. ก็แล้วกัน ป.แรก คือเป้าหมาย ซึ่งสะท้อนออกมาจากหลักสูตร ขอยกแค่หลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐานนะครับ หลักสูตรขั้นพื้นฐานเราใช้มาตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งก็ 10 กว่าปีมาแล้วนะครับ แม้จะมีความพยายามปรับหลักสูตรในปี 2560 แต่เป้าหมายของหลักสูตรก็ยังคงปรับแค่บางวิชา แค่คณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์เป็นหลัก แต่อย่างวิชาประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้มุ่งเน้นในการสร้างทักษะที่สูงขึ้น หลายคนอาจจะคุ้นเคย Bloom’s Taxonomy ที่มันจะมีเรื่อง Higher Order Thinking กับ Lower Oder Thinking นะครับ ของไทยเราเนี่ย วิชาวิทยาศาสตร์กว่าจะได้มาเรียน Higher Order Thinking ก็ ม. 1 แล้วแต่ระหว่างชั้น ป.1-6 มีแค่ท่องจำกันไป ยังไม่นับถึงสื่อบางวิชาที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้ อย่างภาษาพาทีอีก ที่ผ่านมา ก็มีความพยายามปรับกันอยู่บ้าง ซึ่งผมคิดว่าอันที่ชัดที่สุดคือ CBE Thailand ที่เขาจะปรับเป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะ ที่บ่งบอกได้ว่า ต้องประยุกต์ความรู้ ทักษะและเจตคติมาทำให้เกิดความสามารถในการทำอะไรบางอย่างให้บรรลุได้ สุดท้ายก็โดนเบรกด้วยเหตุผลที่ค่อนข้างแปลกจากฝ่ายการเมืองที่ว่า ‘เป็นภาระในการจัดพิมพ์หนังสือ แล้วก็การซื้อหนังสือของผู้ปกครอง’ ทั้งที่รัฐก็มีงบซื้อหนังสืออยู่แล้ว ผู้ปกครองไม่ได้มีภาระตรงนี้นะครับ

“ป. ต่อมา คือ ประสิทธิภาพ ซึ่งผมมองว่าเป็นปัญหาที่ค่อนข้างใหญ่มากกว่า บางคนบอกว่า “เฮ้ย! งบการศึกษาเรามันน้อยไปหรือเปล่า” ไม่น้อยนะครับ ถือว่าเป็นอันดับต้นๆ อันดับ 1 อันดับ 2 ไม่พ้นจากในสามแสนกว่าล้านทุกๆ ปี ประสิทธิภาพในการบริหารเนี่ยมันมีความซับซ้อนอยู่ในหลายแง่ อย่างเช่น จำนวนเด็กไทยลดลง โรงเรียนเหลือเยอะ โรงเรียนส่วนใหญ่กลายไปเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งทรัพยากรอาจจะลงไปน้อย รวมถึงเรื่องฐานเงินเดือนอะไรต่างๆ เพราะจำนวนครูมันน้อยลงไปด้วย โรงเรียนที่ขาดครูเนี่ย 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ก็เป็นโรงเรียนขนาดเล็กอีก มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะสอนหนังสือได้ในโรงเรียนที่แค่ครูก็ยังไม่พอ ครั้นเราจะย้ายโรงเรียนที่เกินไปโรงเรียนที่ขาดก็ทำไม่ได้อีก ถ้าเรานึกภาพบริษัทเอกชนเวลาเราต้องการลด ก็อาจจะไล่ออก แล้วมีแพ็กเกจอะไรให้นะครับ แต่กับครูมันทำไม่ได้ สุดท้ายที่ผมเจอคือ แม้จะเกลี่ยจากโรงเรียนที่ครูเกิน ไปให้โรงเรียนที่ครูขาดได้ทั้งหมด เราก็ยังขาดครูอยู่ประมาณ 20,000 กว่าคนอยู่ดี เพราะฉะนั้น ด้วยระบบเดิมประสิทธิภาพการบริหารแบบเดิมแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต้องมารื้อกันใหม่ ว่าเราจะบริหารโรงเรียนอย่างไรให้มีครูพอ และมีประสิทธิภาพไปพร้อมกันด้วย นี่ยังไม่รวมนับรวมถึงเรื่องโครงการที่สั่งลงมาจากเบื้องบน ที่ทำให้ภาระงานของโรงเรียนเยอะมากจนทำงานได้ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าไหร่อีก

“ ป. สุดท้าย การปฏิรูปวัฒนธรรมการทำงานในโรงเรียน เป็นเรื่องหนึ่งที่มีปัญหามากๆ ผมมีโอกาสไปทำเกี่ยวกับเรื่อง Education Sandbox พื้นที่นวัตกรรมเนี่ย มันมีการปลดล็อคกฎระเบียบ ให้อิสระในการทำหลักสูตรแล้ว แต่บางที่ก็ไม่ทำหลักสูตรใหม่อยู่ดี ให้อิสระในการเลือกซื้อหนังสือเรียนแบบใหม่ บางที่ก็ไม่เลือก ในขณะเดียวกันระดับบริหาร ก็ไม่ยอมไปนิเทศโรงเรียนที่ใช้หลักสูตรแบบใหม่ พอไปเจาะดูจริงๆ ก็พบว่า มันเป็นวิธีการบริหารของเขาเอง ผมมองว่า วัฒนธรรมการทำงานต่างๆ เหล่านี้เหมือนกับช้างถูกล่ามโซ่ตรวนไว้นาน เมื่อเราเอาโซ่ออก ช้างก็ไม่เดินไปไหนอยู่ดี

 

โซ่ตรวนที่เหนี่ยวรั้งโรงเรียนไทยในมุมมองของผู้บริหารโรงเรียน

อีกมุมมองจากผอ.เจี๊ยบ-ภัทรียา คชหิรัญ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดสุวรรณาราม (ดีราษฎร์รังสฤษดิ์) ซึ่งมีประสบการณ์เป็นครูการศึกษาพิเศษ ทำงานกับโรงเรียนขนาดเล็ก ทำงานกับผู้ด้อยโอกาสมาโดยตลอด ทำให้เห็นภาพหน้างานของปัญหาอย่างลึกซึ้ง

“โรงเรียนประถมขนาดเล็ก ขาดแคลนทุกอย่างค่ะ สิ่งแรกเลยคือ เงินไม่มี ทั้งปีมีเงินให้ใช้นิดเดียว จะซื้อหนังสือ จะซื้อสื่ออะไรก็เงินไม่พอ ผอ.มีหน้าที่หลักในการระดมทุน เป็นปัญหาในการบริหารซึ่งในสภาวะเศรษฐกิจลักษณะแบบนี้ก็ค่อนข้างยากพอสมควรนะคะ ครูก็ขาดแคลน ซึ่งหามาแทนไม่ได้ด้วยนะ เพราะว่า จำนวนเด็กนักเรียนกับคุณครูจะต้องสอดคล้องกันใช่ไหมคะ อย่างยกตัวอย่างของโรงเรียนตัวเองมีนักเรียน 190 คน มีคุณครูได้ 10 คน ซึ่ง 10 คนเนี่ย เป็นครูประจำชั้น 8 คนแล้ว ทีนี้วิชาเอกซ้ำกันก็มี วิชาเอกอย่างภาษาไทย คณิตศาสตร์โรงเรียนเราไม่มี แต่เราก็จำเป็นที่เราจะต้องรับคุณครูเอกวิทยาศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษมาก่อน ไม่งั้นเราก็จะไม่ได้ครู ด้วยระบบบริหารจัดการบุคลากรแบบนี้ ทำให้โรงเรียนเนี่ยต้องมาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น คุณครูต้องพัฒนาตนเองให้สามารถสอนวิชาอื่นให้ได้ด้วย เพราะ 1 คนจะต้องสอนทั้งวัน เพราะฉะนั้น ถ้าจะถามหาถึงคุณภาพการศึกษา แต่ว่ามาดูที่ปฐมวัยมา ดูที่ประถมศึกษา คุณครูลำบากมาก แล้วโรงเรียนก็โดดเดี่ยว บางทีนโยบายที่โรงเรียนได้รับ ไม่รู้เหมือนกันต้องทำยังไง ก็ต้องทำเอง ต้องคิดเอง ปรึกษาหารือกันในแวดวงที่เรารู้จัก ทำไปตามที่เราสามารถพอจะทำได้ อย่างเช่น นโยบาย ‘พาน้องกลับมาเรียน’ ไม่ได้บอกว่าเป็นนโยบายที่ไม่ดีนะคะ แต่ว่าเป็นนโยบายที่ทำยาก มีปัญหาพอสมควร เนื่องจากว่ามันเป็นการทำงานกับนักเรียนหรือผู้ปกครองที่มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการศึกษาไปแล้ว เพราะไม่งั้นเขาก็คงไม่หยุดเรียน แต่เป็นนโยบายที่เขาเน้น เราก็จะต้องทำยังไงก็ได้ ให้นักเรียนกลับมาเรียน ก็พยายามทั้งเอางานไปให้ทำที่บ้าน ให้มาเรียนบ้างก็ได้ หรือว่าแนะนำโรงเรียนที่เหมาะสมกับเขามากที่สุดอะไรอย่างนี้

“นโยบายสถานศึกษาปลอดภัยก็เป็นนโยบายที่ดีมากๆ แต่อย่างโรงเรียนเราเนี่ย ไม่มีรั้วโรงเรียนนะคะ และไม่ปลอดภัยชิดกับทางรถไฟก็ เราจะสร้างรั้วเองก็สร้างไม่ได้ เนื่องจากมันเป็นที่ของการรถไฟฯ เราก็จะต้องกั้นในบริเวณตึกของเราไม่ให้เด็กออก แต่ช่วงพักกลางวันจะห้ามเด็กก็ไม่ได้ คุณครูก็จะต้องระแวดระวังดูแลกันพอสมควร แล้วก็ต้องมีกล้องวงจรปิด ซึ่งทุกอย่างมันก็ผูกพันกับเงินและคนไปทั้งหมดนะคะ ส่วนเรื่องสื่อ เรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกในโรงเรียน โรงเรียนขนาดเล็กที่ขาดแคลนเนี่ย ไม่ต้องพูดถึงเลย อาคารเรียนก็ไม่เพียงพอค่ะ บริหารจัดการกันไปตามที่มี ขาดแคลนยังไงก็ทำไปตามนั้น

“เรื่องเด็กพิเศษ เด็กด้อยโอกาส ตามรัฐธรรมนูญต้องได้รับการศึกษาเนอะ แต่ก็ไม่เท่าเทียมกับเด็กปกติค่ะ เพราะคุณครูก็ไม่พร้อมที่จะรับเด็กพิเศษ เนื่องจากเด็กพิเศษเนี่ย มีตั้งแต่ High Function ไปจนถึง Low Function ซึ่งทุกคนก็อยากเข้าเรียน แต่บางคนควบคุมตัวเองให้นั่งเก้าอี้ยังทำไม่ได้เลย ลุกวิ่งตลอด ก็จะต้องมีพี่เลี้ยง ทำให้ผู้ปกครองมาเป็นพี่เลี้ยงในห้องเรียน ซึ่งมันก็ทำให้แทรกแซงการสอนของครูอีก”

  ศน.โจ๊ก เสริมต่อว่า จากปัญหาครูไม่เพียงพอนั้นเกิดจากการที่ส่วนกลางมองเห็นเพียงตัวเลขจำนวนครูต่อจำนวนนักเรียน มองเห็นเพียงจำนวนเม็ดเงินรายหัวของผู้เรียน แต่ไม่ได้ไปมองที่ภารกิจที่แต่ละโรงเรียนต้องดำเนินการ ซึ่งล้วนแต่แตกต่างกันไปในหลากหลายบริบท ซึ่งอัตรากำลังเหล่านี้คิดโดย กคศ. แต่ครูส่วนใหญ่อยู่ในสังกัด สพฐ. ส่วนประเด็นการจัดสรรงบประมาณรายหัวให้กับผู้เรียน กลายเป็นว่าโรงเรียนที่มีเด็ก 100 คนกับโรงเรียนที่มีเด็ก 3,000 คน มีพันธกิจเหมือนกัน แต่งบประมาณในการจัดการไม่เท่ากัน โรงเรียนขนาดเล็กเนี่ยมีต้นทุนการบริหารจัดการที่สูงกว่าอยู่แล้วต่อหัว และบางครั้งการกำหนดนโยบายที่ไม่ได้ตรงกับบริบท หรือเงื่อนไขของการจัดการที่หลากหลาย บางโรงเรียนใช้พื้นที่ของวัด ใช้พื้นที่ของการรถไฟ ใช้พื้นที่ของหน่วยงานรัฐอื่นๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ต่างมีเงื่อนไขแตกต่างกันออกไป ทำให้เห็นว่าการรวมศูนย์อำนาจในการกำหนดนโยบายก็เป็นปัญหาหนึ่งที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการโรงเรียนไทยในปัจจุบัน

ปัญหาการกระจายอำนาจและเป้าหมายในการสร้างคน จากมุมมองของครู

ครูโอ-ปราศรัย เจตสันติ์ จาก Thai Civic Education เริ่มต้นเล่าถึงปัญหาที่พบเจอด้วยตนเอง “ผมได้ฟังทางท่านอื่นๆ แล้วก็คิดว่าทั้งคนในและคนนอก เห็นประเด็นบางอย่างที่คล้ายคลึงกันมากๆ โดยเฉพาะอย่างที่ ศน.โจ๊กพูดถึง ปัญหาการรวมศูนย์อำนาจ กระทรวงศึกษาธิการมีระบบการจัดการที่ค่อนข้างกว้าง ทำให้ 1 ในกระทรวงที่มีงบประมาณสูงที่สุดของประเทศมีปัญหามากเป็นอันดับต้น ๆ ด้วยเช่นกัน ผมอยู่โรงเรียนมัธยมของกรุงเทพมหานคร มีการระดมทรัพยากรค่อนข้างสูง เราจัดการหรือทำอะไรบางอย่างก็จะค่อนข้างง่ายกว่าโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนที่ขนาดเล็ก จึงไม่แปลกว่าทำไมเมื่อเด็กๆ โตขึ้นมาหน่อย เราก็จะส่งลูกไปอยู่โรงเรียนประจำอำเภอ พอโตขึ้นอีกก็ส่งไปอยู่โรงเรียนประจำจังหวัด พอเข้ามหาวิทยาลัย ก็วิ่งเข้าสู่กรุงเทพฯหรือหัวเมืองใหญ่ๆ กลายเป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำอื่นๆ ที่ยิ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้นกว่าเดิมไปอีก

“การที่ทางหน่วยงานส่วนกลางพยายามอย่างยิ่งที่จะ ควบคุมหลายๆ อย่างเข้าด้วยกันเนี่ย เข้าใจว่าพยายามจะสร้างความเสมอภาคผ่านการใช้อำนาจของรัฐ แต่ปัญหาคือในขั้นการปฏิบัติจริงมันขัดกับบริบทหลายอย่างในท้องถิ่นมากๆ งบประมานก้อนนี้ บอกให้สร้างห้องน้ำ แต่ที่นี่ก็มีห้องน้ำอยู่แล้ว เอางบไปผันอย่างอื่นก็ไม่ได้เพราะหน่วยงานส่วนกลางเขาสั่งให้ทำแบบนี้ สุดท้ายมันเกิดปัญหาในการปฏิบัติจริงๆ ครับ โดยที่หน่วยงานส่วนกลางไม่ได้รับรู้เลยว่า เกิดอะไรขึ้นกับตรงนั้น

“ยังไม่นับการจัดการเรื่องของหลักสูตรซึ่งเป็นหัวใจจริงๆ อย่างเคสดราม่าที่เพิ่งผ่านมาสัปดาห์ก่อน หนังสือเรียนภาษาพาที เป็นตัวอย่างที่ชัดมากๆ ของการที่กระทรวงพยายามกำหนดว่าเนื้อหาสาระที่เด็กควรเรียนคืออะไร แล้วเขาก็สร้างองค์ความรู้หนึ่งขึ้นมา เพื่อทำให้เด็กทั้งประเทศเข้าถึงองค์ความรู้ได้เหมือนกัน ดูเหมือนจะเป็นการพยายามจัดการความเสมอภาคทางการศึกษา แต่เมื่อหน่วยงานส่วนกลางไม่ได้ปล่อยให้ท้องถิ่นได้รังสรรค์ความรู้ที่เหมาะกับบริบทของแต่ละพื้นที่ มันทำให้บางครั้งเราอ่านเราก็รู้สึกแปลกๆ  คนที่เขียนเนี่ยอยู่ในเจเนอเรชันเดียวกับครูและผู้เรียนแค่ไหน มันยิ่งเกิดความขัดแย้งกันขึ้นตามมา

“การรวมศูนย์อำนาจทางการศึกษา ไม่ใช่แค่เรื่องของงบประมาน หลักสูตรท้องถิ่นเนี่ย จริงๆ มันมีอยู่นะครับ ทุกเขตพื้นที่ฯ มีหลักสูตรท้องถิ่นของตัวเอง ทุกสถานศึกษาก็มีหลักสูตรของโรงเรียน แต่เมื่อส่วนกลางมีการออกแบบหลักสูตรที่เป็นมาตรฐานของชาติ สุดท้ายมันเกิดความขัดแย้งกัน ทำให้เขตพื้นที่ฯ กับโรงเรียนไม่กล้าขยับเนี่ย เพราะรู้สึกว่าสุดท้าย ถ้าสอนตามบริบทที่พื้นที่ต้องการ แต่ปลายทางเด็กไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้เพราะว่าข้อสอบส่วนกลางทุกคนต้องสอบเหมือนกันหมด สุดท้ายเด็กเกิดความเสียหาย คุณครูเองก็ต้องยึดประโยชน์ของเด็กเป็นที่ตั้ง ก็เลยยอมยกเลิกความฝันบางอย่างแล้วกลับมาหาส่วนกลางดีกว่า เพราะมันเป็นเซฟโซนสำหรับเขา และเซฟโซนสำหรับเด็กด้วย นี่คือปัญหาโครงสร้างนะครับ ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะของแต่ละบุคคล”

ปราศรัยตั้งคำถามถึงเป้าหมายทางการศึกษาที่ปัจจุบันมุ่งเน้นการผลิตทรัพยากรมนุษย์เข้าสู่ตลาดแรงงานเพียงอย่างเดียว ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วมีปรัชญาด้านการศึกษาอีกมากมาย “เรามองการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการผลิตของโลกเสรีก็ได้ หรือจะมองว่าจริงๆ แล้ว เด็กไม่ได้ถูกสร้างมาแค่เป็นส่วนหนึ่งของระบบการผลิตทั่วไปของทุนนิยม แต่เด็กคนหนึ่งเขาเป็นมนุษย์ที่สามารถค้นพบว่าเขาคือใคร เขาจะต้องไปไหนต่อ เขาสามารถสร้างสรรค์สังคมได้อะไรได้บ้าง หรือเขาสามารถตั้งคำถามกับรัฐได้แค่ไหน”

 “หลักสูตรหรือการเปลี่ยนแปลงหรือนโยบายอะไรบางอย่าง พยายามทำให้เด็กมีประสิทธิภาพสูงสุดในการตอบโจทย์ระบบเศรษฐกิจหรือตลาด แต่เคยทำให้เด็กคนหนึ่งลุกขึ้นมาตั้งคำถามกับระบบได้ไหม ทำให้เด็กคนหนึ่งลุกขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า ออกจากกรอบเดิมๆ ที่เราเคยทำได้หรือเปล่า ซึ่งต้องกลับไปตั้งคำถามกับคนที่ออกแบบนโยบายว่าหลักสูตรออกแบบอะไรมา หลักสูตรต้องการตอบโจทย์อะไร เพราะเด็กที่กระทรวงต้องการ คุณภาพผู้เรียน มันก็จะถอยกลับมาว่า “แล้วครูล่ะ ครูที่กระทรวงต้องการ ครูที่เป็นต้นแบบของกระทรวงคือแบบไหน” ถ้าเราบอกว่าครูเป็นส่วนหนึ่งของกลไก เพื่อปลูกฝังอุดมการณ์อะไรบางอย่างของรัฐที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับเด็ก เราก็จะได้ครูแบบหนึ่ง แต่ถ้าเราต้องการครูเพื่อสอนให้เด็กคิดเป็นเราก็ต้องการกระบวนการผลิตครูอีกแบบหนึ่งที่จะสามารถให้เด็กตั้งคำถามได้ กระบวนการพวกนี้มันต้องถอยกลับมาดู

หลายๆ ครั้งผมเห็นเลยว่า นโยบายของพรรคการเมืองพยายามชงเรื่องฮาร์ดแวร์ซะเยอะ เอาเทคโนโลยีเข้าไปในโรงเรียน ระบบอิเล็กทรอนิกส์ เว็บไซต์มันเป็นภายนอกอะครับ หัวใจจริงๆ ของโรงเรียนมันคือหลักสูตรกับกระบวนการในการทำให้ครูกับเด็กมีปฏิสัมพันธ์กัน ผมคิดว่าประเด็นนี้ ทุกพรรคควรจะรับฟังแล้วก็ควรตั้งคำถามกับนโยบายของพรรคตัวเองครับ

ปัญหาโยงใยในโรงเรียนจากมุมมองของครู

ครูบอส-พรพรรษ อัมพรพฤติ โรงเรียนวัดนวลนรดิษ มองว่าปัญหาในโรงเรียนไทยตอนนี้เป็นเหมือนมีโครงสร้างที่มันเชื่อมโยงกันทั้งหมด ปัญหาหนึ่งในโรงเรียนมีองค์ประกอบที่ไปดันให้อีกปัญหาไม่สามารถแก้ไขได้ ทั้งในเรื่องขององค์ความรู้ เรื่องของวัฒนธรรม และอีกหลายเรื่อง

“ปัญหาแรกผมชวนมองแบบนี้ครับ ระบบราชการไทยมันเป็นระบบแบบท็อปดาวน์ (Top Down) สั่งจากข้างบน ลงมาข้างล่าง ระบบโรงเรียนจะใช้เรื่องการเลื่อนขั้นเงินเดือน ที่ผู้บริหาร หรือว่าผอ.โรงเรียน มีอำนาจเลื่อนเงินเดือนได้ นั่นหมายความว่าจริงๆ แล้ว มันคือ คำว่าความดีความชอบ ถ้าฝ่ายบริหารชื่นชอบใครมันก็มีแนวโน้มที่จะได้รับการพิจารณาเงินเดือนได้พิเศษกว่า ซึ่งถ้าเราไปดูตามกฎหมายการเลื่อนเงินเดือน จะพบว่าไม่ได้มีการบอกเอาไว้ว่าจำเป็นจะต้องให้ครูหรือนักเรียนมีส่วนร่วมในการให้ข้อคิดเห็นเรื่องการเลื่อนเงินเดือนด้วย หมายความว่าอำนาจนี้ทั้งหมดเป็นของฝ่ายบริหาร ผู้บริหารเป็นคนมีอำนาจในการเลื่อนเงินเดือน ในขณะเดียวกัน ผู้บริหารก็ถูกอำนาจของเขตพื้นที่การศึกษา กำหนดนโยบายมาจากกระทรวงอีกที เป็นลักษณะท็อปดาวน์แบบนี้ลงมาเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ โรงเรียนไหนที่ใจกว้างหน่อย ก็อาจจะให้คุณครู ให้นักเรียนมีส่วนร่วม โรงเรียนไหนที่ทำตามกฎระเบียบเป๊ะๆ ก็อาจจะมีแค่คณะกรรมการในโรงเรียนพิจารณา

“สมมติว่าผมอยู่ฝ่ายทั่วไปดูแลเกี่ยวกับอาคารสถานที่ ปรากฏว่า คุณครูคนนี้ช่วยผมมากเลย เขาก็ได้ความดีความชอบนี้ไป ส่วนมากโรงเรียนจะมี 4-5 ฝ่ายนะครับแต่มีฝ่ายวิชาการอยู่แค่ 1 ฝ่าย นั่นหมายความว่า มีการให้ความสำคัญกับเรื่องทางวิชาการน้อยมาก ในขณะเดียวกันไปให้ความสำคัญเรื่องงานในโรงเรียนมากกว่า ตอนที่ผมบรรจุเข้าไปในโรงเรียนใหญ่พิเศษ จำนวนงานที่มีในโรงเรียนเท่ากับเงินครู หมายความว่าในโรงเรียนเนี่ยมีงานอยู่ประมาณสัก 80-90 งาน คูณ 1 คนเป็นหัวหน้างาน 1 งาน คำถามคือในการบริหารคน มีครู 100 คนและมีนักเรียนประมาณ 2,000 คน การที่มีงานอยู่กว่า 90 กว่างาน มันมันใหญ่เกินตัวหรือเปล่า เราทำจนเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่กล้าปรับเปลี่ยนแก้ไข เมื่ออำนาจมันเป็นแบบท็อปดาวน์ คนนี้อยากเปลี่ยนโครงสร้างก็เปลี่ยน ไม่มีวัฒนธรรมในการทำงานที่เป็นเชิงเป้าหมายระยะยาว

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ ในโรงเรียนมีความเป็นวิชาการ (Academic) ค่อนข้างน้อย อย่างที่ ผอ. เจี๊ยบบอกว่ามีนโยบายตามน้องกลับมาเรียน ความเข้าใจของเราก็คือ เด็กที่ได้รับผลกระทบจากโควิดแล้วไม่มีเงินเรียน แต่บางโรงเรียน บางสำนักงานเขตพื้นที่ ตีความคำนี้กว้างถึงขนาดที่ว่า ไม่ให้มีเด็กตกซ้ำชั้น ไม่ให้เด็กติด 0 ติด ร กลายเป็นว่าสุดท้ายก็มาบีบคุณครูว่า ทำยังไงก็ได้ให้เด็กไม่ติด 0 เรามีหลักวิชาการ กระบวนการออกแบบการจัดการเรียนการสอนการวัดผลอยู่แล้ว ทุกอย่างมันถูกพังทลายหมด เพื่อนโยบายอย่างเดียว ไม่มีใครสนใจวิชาการที่เราเรียนกันในมหาลัยเพื่อที่จะออกไปสอนน่ะ ทุกคนสนใจแค่นโยบาย แล้วนโยบายพวกนี้ไม่ได้อิงตามหลักการทางวิชาการ ไม่มีใครมาสนใจครับว่าจริงๆ แล้ว กระบวนการจัดการเรียนการสอนของคุณครูเป็นอย่างไร แต่สนใจอย่างเดียวว่าสุดท้ายแล้วเด็กไม่ติด 0 เด็กจบการศึกษาออกไปได้ เมื่อมันออกมาเป็นจำนวนเชิงตัวเลขปุ๊บแล้วมันน่าพึงพอใจก็สนใจแค่นั้น

เมื่อความเป็นวิชาการน้อยเกินไป สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ หลักสูตรมันไม่แข็งแรง ยกตัวอย่างแบบนี้ครับ ตอนที่ผมไปฝึกสอนในโรงเรียนต่างๆ วิชาสังคมที่มีเกือบทุกโรงเรียนเลยคือ กฎหมายในชีวิตประจำวัน ทุกโรงเรียนตั้งชื่อวิชาแบบนี้หมด ผมก็สงสัยว่าทำไมทุกโรงเรียนถึงมีวิชานี้ คำตอบที่รับก็คือว่า “อ๋อ! สำนักพิมพ์เขามีหนังสือเล่มนี้พอดี” โรงเรียนก็ตั้งวิชานี้ตามที่สำนักพิมพ์มีหนังสือออกมาขาย ทุกคนคำนึงถึงแค่ว่าจะจัดกระบวนการเรียนการสอนอย่างไรให้มันง่ายให้มันสะดวก  เมื่อกี้มีพูดขึ้นมาว่ามีการปรับหลักสูตรของวิทยาศาสตร์ อยากให้เด็กเก่งในเรื่องโค้ดดิ้ง เขียนโปรแกรมได้ ก็เลยไปเอาหน่วยกิตของวิชาการงานฯ ออกมาใส่วิทยาศาสตร์ให้เด็กเขียนโปรแกรมได้ เด็กเขียนโปรแกรมได้ไหมไม่รู้นะ ตอนนี้แต่กลายเป็นว่าเด็กทำ Word Powerpoint Excel ไม่เป็น เพราะฉะนั้นเวลาเรานึกถึงนโยบายหรือหลักสูตรใดๆ ก็ตาม คำถามก็คือ ตอนที่เราคิดจะเปลี่ยนเนี่ย ครูหรือบุคลากรทางการศึกษาเข้าไปอยู่ในกระบวนการคิดนโยบายพวกนี้มากน้อยขนาดไหน เพราะสุดท้ายแล้วคนที่รับผลกระทบตั้งแต่เริ่มต้นจนตอนจบ ก็คือ ครู อีกตัวอย่างสุดท้ายนะครับ เมื่อเราตัดสินใจด้วยความที่ไม่ได้เป็นวิชาการมากพอ กฎหมายเปิดช่องให้ผู้บริหาร หรือใครก็ตามที่มีอำนาจใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจบางอย่าง  เช่น การอยู่เวร ถ้าเข้าไปดูในตัวบทกฎหมายจริงๆ ไม่ต้องให้มีการอยู่เวรก็ได้ ถ้าสถานที่นั้นหรือสถานศึกษานั้นเนี่ยมีการจ้างเวรยามอยู่แล้ว แต่เราก็จะพบว่าโรงเรียนใหญ่ขนาดไหนก็ตาม ต่อให้มีเวรยามแล้ว ก็ยังมีให้ครูอยู่เวร ผมก็เลยย้อนกลับไปดูการพิพากษาของศาลฎีกา พบว่า ต่อให้ครูไปอยู่เวรหรือไม่ไปอยู่เวรแล้วเกิดการขโมยของในสถานศึกษาขึ้นมาเนี่ย ศาลฎีกาตัดสินไว้เป็นบรรทัดฐานแล้วว่า ครูไม่ผิดในเชิงของคดีอาญานะครับแต่ว่าโอเคผิดวินัยใดๆ ก็ตามก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งไป ในเมื่อกฎหมายก็บอกว่าทำได้ แต่สุดท้ายแล้วครูก็ต้องอยู่เวรเพราะการใช้วิจารณญาณของผู้บังคับบัญชาอยู่ดี

ปิดสวิตซ์ 3 ป. แก้ปัญหาการศึกษาไทย

นักวิจัยจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มองว่า พรบ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 มีองค์ประกอบที่น่าสนใจมาก คือ วัตถุประสงค์ในหลักสูตรข้อแรกๆ มีเป้าที่อยากพานักเรียนไปถึง ซึ่งมีลักษณะของความเป็น Predetermined Value แต่วัตถุประสงค์ข้อหลังระบุว่า ต้องการให้นักเรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ รู้จักตั้งคำถาม

“ผมมองว่า 2 อย่างนี้มันไปด้วยกันไม่ได้ คือการที่คุณไปกำหนดคุณค่าแต่แรก มีคำตอบสุดท้ายไว้แล้ว กับให้รู้จักตั้งคำถาม ผมว่าคู่นี้มันไปด้วยกันได้ยาก อาจจะต้องเลือกสักทาง ผมมองว่าการตั้งคำถาม สุดท้ายได้คุณค่าที่เกิดจากการตั้งคำถาม การสืบเสาะ การคิดวิเคราะห์ออกมาน่าจะดีกว่า ทีนี้มาถึงเรื่องเป้าหมายครับ วิธีแก้ไขที่น่าจะทำได้คือการ Accumulate หรือรวม Demand ของคน เอาเข้ามารวมแต่กันอย่างมีระบบไม่งั้นรวมมันจะมั่วไปหมด ต้องดูดีๆ ว่าเป้าหมายที่เราอยากได้มันคืออะไรกันแน่ ยกตัวอย่างวิชาประวัติศาสตร์เนี่ยสามารถประยุกต์ได้หลายอย่าง ตั้งแต่เนื้อหาประวัติศาสตร์ที่นำเสนอได้หลายด้าน ไม่จำเป็นต้องไปสกรีน สำคัญกว่ามันคือทักษะในการสืบเสาะหาหลักฐาน ในการประเมินความน่าเชื่อถือของหลักฐาน และสุดท้ายทัศนคติ เจตคติของนักเรียน จะประเมินด้วยเลนส์ไหน ซึ่งมันมีวิธีมองประวัติศาสตร์หลายแบบมากๆ ผมมองว่า สิ่งที่ต้องไปแก้ที่เป้าหมายของหลักสูตร”

“ต่อมาคือเรื่อง ประสิทธิภาพ  เมื่อเรามีเป้าหมายใหม่ ของที่เราจะเอามาทำเนี่ยเรามีพอไหม เราจะเอามาจัดสรรยังไง อย่างที่ผมเล่าไปตอนแรกว่า กระทรวงได้งบเยอะแล้ว ต้องมาดูว่าเราจะจัดการยังไง โรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งมีอยู่ครึ่งหนึ่งของจำนวนโรงเรียนทั้งหมด ต้องจัดการจริงๆ คือการยุบ ควบรวม ซึ่งอาจต้องมีการคุยกับท้องถิ่นที่ยุบจะนำพื้นที่ไปสร้างประโยชน์อะไรได้อีก ส่วนเรื่องขาดแคลนครู ฟังดูแปลกๆเนอะ เด็กลด ทำไมครูยังขาดอยู่ เพราะครูไปเกินอยู่ในบางที่ แต่โรงเรียนขนาดเล็กมันดันขาด ซึ่งครูก็ไม่ย้ายกันไป เพราะทรัพยากรที่เกิดจากระเบียบการบริหารงบประมาณทั้งหลาย ตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือ ระเบียบเรื่องเงินเดือนที่เขาจะรวมเรื่องฐานเงินเดือนของแต่ละโรงเรียนในเขตพื้นที่ฯ มาจัดสรรกันไป ซึ่งเขาจะให้โรงเรียนใหญ่ที่มีครูเยอะ เพราะฉะนั้นฐานสัดส่วนวงเงินในการเลื่อนเงินเดือนจึงเยอะกว่า ซึ่งตรงนี้มันบริหารได้แต่เขตพื้นที่ฯ ก็ไม่ทำนะครับ เหตุผลเพราะอะไร ข้อ 3 มีคำตอบครับ

“สุดท้ายเราต้องลดจำนวนโครงการในโรงเรียนจริงๆ นะครับ วิธีปรับได้อย่างง่ายคือ การแปรญัตติงบโยกงบออกมาทำเป็นอย่างอื่นแทน  หรืออีกวิธีคือ ลดละเลิกโครงการที่ไม่มีประโยชน์ ทำให้เป็น Zero Based Budgeting โรงเรียนบอกมาว่าตัวเองอยากจะทำอะไร ซึ่งมันก็จะสะท้อนไปที่ข้อแรก ว่าเราจะเอาความต้องการของนักเรียนมาเป็นตัวตั้งแล้วค่อยเขียนงบขึ้นมา เพราะสุดท้ายมันคือเรื่องของวัฒนธรรม สมมติมีอิสระแล้ว เขาจะเขียนขึ้นงบประมาณโครงการขึ้นมาใหม่ไหมหรือจะทำแบบเดิม ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเรื่องศักยภาพ อีกส่วนหนึ่งคือเรื่องวัฒนธรรมที่ไม่กล้าคิดของใหม่ๆ ของใหม่ๆ ที่เล็กที่สุดที่เริ่มได้เลย คือแผนการสอนในห้องเรียน ขอยกตัวอย่างแผนการสอนของครูนกยูง (ปานตา ปัสสา) ที่เผยแพร่ใน insKru เขาเชื่อมโยงเรื่องโรงงานกิ่งแก้วไฟไหม้ มีตั้งแต่ความรู้ว่า เมื่อไฟไหม้ต้องทำยังไง หนียังไง จะป้องกันไฟไหม้ได้ยังไง เป็นแผนการสอนที่เกิดขึ้นในระบบการศึกษาที่เราบอกว่ามัน รวมศูนย์อะ มันติดกับดักเยอะมากเลย สิ่งเล็กๆ ตรงนี้แหละครับ ที่ผมว่ามันจะเป็นพลังในการเปลี่ยนแปลงให้เกิดวัฒนธรรมใหม่ๆ สุดท้ายคนจะกล้าทำมากขึ้น"

ถ้าเกิดมันปรับไปทั้งระบบ ปรับตั้งแต่เป้าหมาย การบริหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และปรับวัฒนธรรมด้วยการส่งเสริมจุดเล็ก ๆ มันจะเป็นพลังที่เปลี่ยนแปลงได้

insKru Festival 2023

ไอเดียนี้เป็นไงบ้าง?

0
ได้แรงบันดาลใจ
0
ลงไอเดียอีกน้า~
avatar-frame
แบ่งปันโดย
insinsKru
insKru Official Account เราจะคอยผลักดันและเชิญชวนคุณครูมาร่วมสร้างสรรค์ไอเดียการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการศึกษาไทยต่อไป

อยากร่วมแลกเปลี่ยน?

please login

แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru

เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย

icon-please-commentมาเป็นคนแรกที่แลกเปลี่ยนสิ!
credit idea

ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!

ไอเดียน่าอ่านต่อ