📏การเรียนในระบบการศึกษาต้องมีการประเมินความสามารถ
และความประพฤติของนักเรียน ผ่าน ”แว่น” แบบต่าง ๆ
ที่โรงเรียนเห็นว่าช่วยให้จำแนกทางวิชาการได้
อย่างสะดวก เเละช่วยให้คุณครูจัดการห้องเรียนง่ายยิ่งขึ้น
ความ “เก่ง” หรือ “ไม่เก่ง”
“ประพฤติดี” หรือ “ไม่ดี”
“ตั้งใจเรียน” หรือ “ไม่ตั้งใจเรียน”
จึงเป็นวิธีสังเกตนักเรียนที่เกิดจากมุมมองนี้นั่นเอง
วันนี้ insKru จะมาฉายภาพให้ทุกคนได้เห็น
อีกมุมมองหนึ่ง เพื่อช่วยให้เข้าใจตัวตน หรือรายละเอียด
ของนักเรียน ที่เราอาจละเลย หรือมองข้ามไปจากมุมมองปกติ
จะเป็นยังไงกัน เมื่อเราสังเกตพวกเขาผ่าน “แว่นวัฒนธรรม”
ที่ช่วยให้เห็นโลกรอบตัวของพวกเขามากขึ้น มุมมองนี้จะช่วย
แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง แล้วจะมีผลอะไรที่ตามมา
ไปติดตามกันได้ในบทความนี้กัน
บทความโดย ครูพล - อรรถพล ประภาสโนบล
เนื้อหานี้ต่อยอดมาจากบทความเหล่านี้ หากสนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่
thepotential.org/knowledge/rewards-and-sanctions
thepotential.org/social-issues/school-fears
thepotential.org/knowledge/multicultural-education
🧐อย่างที่เกริ่นไปว่ามุมมองที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ มีข้อดีคือ
ช่วยจำแนกให้เราสามารถจัดการห้องเรียนได้ง่ายขึ้น
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มุมมองแบบนี้อาจจะทำให้เรา
หลงลืมบางแง่บางมุมของความเป็นนักเรียนไป
การมี “แว่นวัฒนธรรม” แว่นตาอันใหม่ที่ชวนให้ลองมอง
รอบ ๆ ตัวนักเรียนเป็นทางเลือก อาจทำให้เราได้เห็นนักเรียน
ในมุมมองที่แตกต่างออกไปก็เป็นได้
ตัวอย่างเช่น การมองด้วยมุมมองแบบปกติ ตอนนี้เราอาจ
กำลังมองเห็นนักเรียนคนหนึ่งไม่ทำการบ้านมาส่ง
เป็นคนที่ไม่เก่ง ไม่ขยัน แต่เมื่อเราพยายามมอง
ด้วยเลนส์ใหม่ ทำความเข้าใจเพิ่มเติม ผ่าน ”แว่นวัฒนธรรม”
เราอาจเห็นว่านักเรียนคนนี้ ไม่เข้าใจเวลาเรียนในคาบ
แล้วไม่กล้ามาถามครูก็เป็นได้ พอเราเห็นในมุมใหม่
วิธีการในการแก้ไขปัญหาก็จะเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิม
คำว่า “วัฒนธรรม” ที่กล่าวถึงในบทความนี้ จึงไม่ได้กล่าวถึงประเพณี
ศิลปวัฒนธรรม แต่กล่าวถึงวิถีชีวิตที่เกิดขึ้นในโรงเรียนแต่ละวัน
ที่ทั้งครูและนักเรียนร่วมกันทำหรือแสดงออกมาจนเป็นปกติ
เช่น วัฒนธรรมการโฮมรูม วัฒนธรรมการสอบวัดประเมินผล
ซึ่งหากเราลองถอยมามองให้กว้างขึ้น เราจะเห็นได้ว่า ในโรงเรียน
ในชั้นเรียน เราทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมทั้งใหญ่และย่อยทั้งนั้น
เพื่อให้เข้าใจยิ่งขึ้น เรามาลองมอง 3 ตัวอย่าง
ที่เกี่ยวข้องกับนักเรียน ผ่านมุมมองใหม่นี้กัน !
🪑ตัวอย่างแรกคือ ตำแหน่งการนั่งในห้องเรียน
ในบางห้องเรียนครูอาจเป็นคนจัดที่นั่งให้กับนักเรียน
ว่าใครควรนั่งตรงจุดไหน โดยอ้างอิงงานวิจัยของ Zhang
พบว่าการใช้ตำแหน่งที่นั่งมาเป็นการลงโทษและให้รางวัล
นักเรียนอาจไม่ได้คิดเหมือนที่ครูตั้งใจให้รู้สึกก็ได้
ทางด้านครูอาจคิดว่าจะกระตุ้น และสร้างแรงจูงใจ
ให้คนที่เรียนดีได้นั่งข้างหน้า และให้นักเรียนที่พฤติกรรม
ไม่เหมาะสมนั่งด้านข้าง หรือด้านหลังแทน
แต่กลับรู้สึกว่านี่คือการกดดัน และการแบ่งแยก
แทนที่จะรู้สึกถูกกระตุ้น นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่พิสูจน์ว่า
เราไม่สามารถมองตำแหน่งที่นั่งเป็นเพียงการจัดวาง
ทางกายภาพเท่านั้น แต่นี่คือการกระทำที่ซ่อน
ความหมาย หรือ คุณค่าบางอย่างอยู่
ในบางห้องเรียน นักเรียนก็จะเป็นคนเลือกที่นั่งเอง
หากครูลองสวม ”แว่นวัฒนธรรม” ก็อาจจะช่วยสังเกตได้ว่า
ทำไมนักเรียนแต่ละคนถึงเลือกนั่งในตำแหน่งที่แตกต่างกัน
หรือทำไมเมื่อผ่านไปภาคเรียนหนึ่ง นักเรียนบางคนมีการ
เปลี่ยนแปลงที่นั่งไป คำถามที่มีต่อวัฒนธรรมการเลือกที่นั่ง
อาจเปิดโอกาสให้ครูได้สังเกต สอบถาม พูดคุยถึงความสัมพันธ์
ระหว่างนักเรียนด้วยกัน ในท้ายที่สุดอาจทำให้ครูพบว่า
นักเรียนรู้สึกไม่ดีพอ เขาจึงเลือกนั่งในตำแหน่งข้างๆ
มากกว่าตรงกลาง หรือบางคนอาจรู้สึกกลัวครู
จึงพยายามนั่งในตำแหน่งที่เลี่ยงสายตา
หรือนักเรียนมีการกลั่นแกล้ง บูลลี่กัน
ทำให้บางคนต้องปลีกตัวออกมาก็เป็นได้
🛝ตัวอย่างต่อมาคือเรื่องของเวลาว่าง หลัก ๆ แล้ว
ก็อาจเป็นช่วงเวลาพักกลางวัน ที่นักเรียนจะได้
รับประทานอาหารกลางวัน และทำกิจกรรม
ก่อนเข้าเรียนในช่วงบ่าย วัฒนธรรมการใช้เวลาว่าง
ในโรงเรียน จึงเป็นอีกสิ่งที่ครูไม่ควรมองข้าม
เราอาจเห็นว่า เด็กกลุ่มหนึ่งเลือกที่จะวิ่งเล่นเตะฟุตบอล
แต่เด็กอีกกลุ่มเลือกที่จะนั่งเล่นเกมมือถือในห้องเรียน
หากสรุปแบบเร็ว ๆ เราอาจเห็นว่าเด็กมีความชอบแตกต่างกัน
แต่หากเราลองทำความเข้าใจลึกลงไป ไม่แน่อาจพบว่า
เด็กวิ่งเล่นเตะฟุตบอลในสนาม จริง ๆ คือเด็กโต
ที่น้อง ๆ ไม่กล้าไปเล่นด้วย จึงทำให้น้องต้องหันไป
ทำกิจกรรมอย่างอื่นแทน ซึ่งอาจเกิดการค้นพบต่อไปว่า
การเข้าถึงสนามฟุตบอลที่โรงเรียนของเรามีอย่างจำกัด
จึงทำให้การเล่นฟุตบอล เป็นเรื่องของกลุ่มเด็กผู้ชาย
ซึ่งเป็นกลุ่มเด็กโตเป็นหลัก
การทำความเข้าใจวัฒนธรรมเวลาว่างและการเล่นกัน
ยังสามารถสะท้อนความหมายอื่นได้อีกเช่น ครูอาจมองว่า
เวลาว่างของเด็กควรเป็นช่วงที่ควรใช้กับการเตรียมตัวเรียนรู้
แต่สำหรับเด็ก ๆ อาจเห็นเวลาว่าง เป็นช่วงที่เขาจะได้หยุดพัก
จากความเครียดและความกดดันในชั้นเรียน
เหล่านี้คือความท้าทายที่เราอาจเริ่มจากการลองตั้งคำถามง่ายๆ
ผ่านแว่นตาที่พยายามสังเกตวัฒนธรรมรอบตัวของเด็ก ๆ ดู เช่น
เวลาว่างพักเที่ยง เด็กแต่ละกลุ่มมีรูปแบบการเล่นอย่างไร
การเล่นของเด็กผู้ชาย ผู้หญิง และ กลุ่มเพศหลากหลาย
เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
เด็กให้ความหมายเวลาว่างและการเล่นของตัวเองแบบไหนกัน
⌚️ตัวอย่างสุดท้ายคือเรื่องสิ่งของ และสัญลักษณ์
ทำไมนักเรียนบางคนถึงใช้สติ๊กเกอร์รูปการ์ตูนเรื่องหนึ่ง
มาติดกล่องดินสอของตัวเอง ทำไมเขาถึงเลือกใช้ปากกา
ลายสีสันสดใส ขณะเพื่อนอีกคนมักใช้สีเดียวเป็นหลัก
ทำไมนักเรียนกลุ่มหนึ่งมีการห้อยพวงกุญแจ
เป็นรูปดาราศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบ นี่คือตัวอย่างเล็ก ๆ
ที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมย่อย ๆ ที่เกิดในกลุ่มนักเรียน
หรือปัจเจกบุคคลในแต่ละคน
หากเรามองข้ามไปก็อาจคิดว่าเป็นเพียงรสนิยม แฟชั่น
หรือกระแสที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา แต่หากมอง
ให้ลึกลงไป การที่เขามีสิ่งของ สัญลักษณ์ดังกล่าว
อาจบอกได้ไหมว่า สิ่งเหล่านี้กำลังมีอิทธิพลอย่างมาก
กับนักเรียน หรือเป็นสิ่งที่พวกเขาให้คุณค่า มีความหมาย
กับเขาแต่ละคนในแง่ไหนบ้าง อาจจะเกี่ยวข้องกับตัวตน
อัตลักษณ์ของเด็ก ที่เขารับรู้จากคนอื่น ถูกมองเห็นจากครู
หรืออยากแสดงออกให้คนอื่นเห็นก็ได้ด้วยเช่นกัน
ลองสมมุติ ครูอาจสังเกตเห็นนักเรียนคนหนึ่ง
ใส่นาฬิกาที่มีสีสันฉูดฉาดเป็นประจำ เมื่อได้ทำความเข้าใจ
มองผ่านแว่นวัฒนธรรมของเรา ครูก็อาจค้นพบว่า
นักเรียนคนนี้รู้สึกไม่มีตัวตนเสมอมา เขาอาจต้องการ
ถูกมองเห็นจากครูและเพื่อนก็เป็นได้
🤩อย่างที่เล่าไปก่อนหน้า การมีแว่นที่ช่วยให้ครู
มองเห็นนักเรียนและความเป็นไปของสิ่งต่างๆ
ในแง่มุมที่กว้างขึ้น จะช่วยพาให้ครูมีความเข้าใจที่มากขึ้น
เพื่อดูแลนักเรียน และ สร้างแนวทางการเรียนการสอน
ได้อย่างเหมาะสม หรือออกแบบนโยบายเพื่อสร้าง
การเปลี่ยนแปลงได้นั่นเอง เพราะเราก็มีผลกับ
โลกรอบตัวของเขาไม่น้อยเลยทีเดียว
ลองดูตัวอย่างที่เราสามารถช่วยนักเรียนของเรา
เมื่อได้มองพวกเขาผ่านมุมมองนี้กันเลย
💫จากตัวอย่างเรื่องวัฒนธรรมที่นั่งก่อนหน้านี้ หากครูได้พบว่า
ที่นั่งของนักเรียนนั้นสะท้อนถึงการแบ่งแยกในห้องเรียน
ครูก็อาจหาวิธีพูดคุยหรือกิจกรรมที่สร้างความสัมพันธ์
ระหว่างนักเรียนด้วยกันขึ้นมาใหม่ ที่ไม่ทำให้พวกเขารู้สึก
ถูกกีดกัน แล้วมีความรู้สึกลบในการมาโรงเรียน
อีกตัวอย่างเรื่องวัฒนธรรมเวลาว่างและการเล่น
ครูอาจสังเกตว่าในช่วงพักเที่ยง นักเรียนมักจะกินข้าว
อย่างเร่งรีบ เพื่อมาเล่นกันก่อนเรียนช่วงบ่ายเป็นประจำ
เมื่อครูทำความเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ก็อาจพบสาเหตุว่า
นักเรียนถูกออกแบบตารางให้เรียนต่อเนื่อง พวกเขา
จึงรู้สึกว่าเวลาในการพักเพื่อผ่อนคลายมีน้อย
เพียง 40-50 นาทีเท่านั้น หากเราเข้าใจตรงนี้
จากเดิมที่มีเวลาพักกลางวันไม่ถึง 1 ชั่วโมง
เราอาจเสนอให้มีการขยายเวลาเพิ่มขึ้นเป็น 1 ชั่วโมง
หรือมีเวลาพักในช่วงเช้าเพิ่มเข้ามาสัก 10-15 นาที
ให้นักเรียนมีเวลาผ่อนคลายเพิ่มเติมก็เป็นไปได้เหมือนกัน
การสวมแว่นตานี้ไม่ได้มีเพียงแต่การสำรวจ
สิ่งที่เกิดจากนักเรียนเท่านั้น แต่อาจลองใช้เพื่อสำรวจ
วัฒนธรรมการสอนของตัวเองที่มีผลกับโลกของนักเรียนก็ได้
เป็นการมองผ่านมุมมองของนักเรียนที่กำลังมองมาที่เราดู
เราอาจพบว่า บรรยากาศการสอบเก็บคะแนนในห้องนั้น
สร้างความกดดันและความเครียดให้นักเรียนอย่างหนัก
ซึ่งเป็นสิ่งที่ครูอาจไม่รู้มาก่อน และเมื่อรับรู้แล้ว
ครูก็สามารถหาแนวทางที่ปรับเปลี่ยนการวัดประเมินผล
การเรียนต่อไปเป็นการสอดเเทรกกับกิจกรรมได้
กล่าวโดยสรุป เมื่อเราพยายามทำความเข้าใจ
“วัฒนธรรม” หรือพฤติกรรมรอบตัวนักเรียนในแต่ละรูปแบบ
แต่ละกลุ่ม ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เกิดอะไรขึ้นบ้างกับใคร
ทั้งหมดนี้จะเป็นข้อมูลให้เราทำการหรือตัดสินใจบางอย่าง
กับนักเรียนในแต่ละเรื่องได้อย่างรอบคอบ และรอบด้านขึ้น
👓หากเห็นประโยชน์ของแว่นอันใหม่ และอยากทดลอง
มองผ่านมุมมองของ “แว่นวัฒนธรรม” แต่ยังไม่รู้ต้องทำอย่างไร
ลองทำตาม 3 ขั้นตอนง่าย ๆ ได้ ดังนี้เลย
1.ลองสังเกต ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในชั้นเรียนของเรา เช่น
มีการเปลี่ยนแปลงอะไรไหมในช่วงเวลาหนึ่ง ในทุก ๆ วัน
หรือในช่วงเวลานี้ เหตุการณ์ใดบ้างที่มักจะเกิดขึ้นอยู่ซ้ำ ๆ บ่อย ๆ
เหตุการณ์เหล่านี้มักเกิดขึ้นกับใคร หรือกลุ่มไหนเป็นพิเศษ
2.จากนั้นมาลองตั้งประเด็นในการทำความเข้าใจอย่างจริงจัง
เช่น ในทุกๆ ต้นเดือนนักเรียนกลุ่มหนึ่งจะไม่มาเข้าแถวหน้าเสาธง
เพราะไม่อยากโดนตัดผม อย่างไรก็ตามการสวมแว่นตา
“วัฒนธรรม” ที่พยายามเข้าใจวัฒนธรรมรอบ ๆ ตัวเขา
จะไม่ได้สิ้นลงเมื่อพบข้อสรุปเพียงแค่นั้น แต่เป็นการทำความเข้าใจ
ที่ลึกลงไปว่าจริง ๆ แล้ว เด็กรู้สึกและมองเรื่องนี้อย่างไร
3.ครูอาจมีการสังเกตเพิ่มเติมด้วยการจดบันทึกสิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน
ร่วมกับการพูดคุยแบบเป็นกันเอง เช่น ช่วงพักกลางวัน หลังเลิกเรียน
พูดคุยเพื่อเพิ่มเข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงตัดสินใจเช่นนั้น
รวมถึงอาจมีการพูดคุยกับเพื่อนกลุ่มอื่น ๆ ที่อยู่รอบตัวเด็กกลุ่มนี้
ทั้งนี้อาจใช้วิธีการเก็บข้อมูลอย่างอื่นร่วมด้วยตามแต่บริบท
ที่สำคัญต้องระลึกเสมอว่า เราต้องไม่รีบด่วนสรุป
(จากคุณค่า หรือ ความเชื่อบางอย่างที่เรายึดถือ) เนื่องจากอาจ
เกิดความคาดเคลื่อนจากสาเหตุจริง ๆ ได้ แต่เราจะทำความเข้าใจ
ให้มากเท่าที่จะทำได้ สุดท้ายแล้ว เมื่อมีข้อมูลมากพอ
เราถึงลองคิดต่อไปว่า เรื่องราวเหล่านี้กำลังบอกอะไรเรา ?
💖เราเชื่อว่าแนวทางเบื้องต้นในการหยิบแว่นตานี้มาสวมใส่
จะเพิ่มโอกาสให้เราได้เห็น “วัฒนธรรม” ที่อยู่รอบตัวนักเรียน
ได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่อย ๆ เข้าใจนักเรียนที่อยู่ตรงหน้าเรามากขึ้น
รวมถึงอาจเป็นเส้นทางแรกที่จะปูไปสู่การสังเกตและทำความเข้าใจ
วัฒนธรรมต่าง ๆ รอบตัวเขา ที่แตกต่างออกไป เช่น
การสอบและแข่งขัน ความรุนแรงในโรงเรียน การเรียนรู้ของแต่ละคน
เพื่อนำไปสู่การช่วยดูแล โอบอุ้ม และแก้ไขเท่าที่เราทำได้ในที่สุด
insKru เป็นกำลังใจให้คุณครูทุกคนลองหยิบแว่นนี้ไปทำดู
พร้อม ๆ กับดูแลใจของตัวเองด้วย อย่ากดดันตัวเองเกินไปน้า
แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru
เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย
ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!