ข่าวการทำร้ายป้าบัวผัน ถูกยกมาเป็นหัวข้อสนทนาของคาบเรียน พร้อมกับคำถามของครูที่ว่า "พวกเราคิดว่า 'ทำไม' และ 'เพราะอะไร' เด็กเหล่านั้น ถึงทำแบบนั้น"
ความเห็นต่าง ๆ ถูกแชร์กันในห้อง
ความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมต่าง ๆ ของเยาวชนที่เป็นข่าวนั้นต่างถูกพูดถึง
จนนำไปสู่ข้อสรุปเกี่ยวกับพฤติกรรมที่นักเรียนต่างเห็นตรงกันว่า "ไม่ควรที่จะกระทำมันเลย"
จากนั้นครูจึงถามเกี่ยวกับการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เบียร์ น้ำกระท่อม กัญชา ฯลฯ ว่าความเห็นของเธอนั้นเป็นอย่างไร
ในสายตาของพวกเขา สิ่งที่ผู้ใหญ่ พยายามห้ามปรามพวกเขานั้น ไม่ใช่สิ่งที่ผิดเสมอไป
'ถ้าไม่ได้ไปทำร้ายใคร มันก็ไม่ผิดหรือเปล่าครู' 'เดี๋ยวก็ถูกกฎหมาย ที่อื่นขายกันเยอะแยะ' 'ก็ดื่มแค่นิดหน่อย ไม่ถึงกับต้องเมามาก'
นี่คือบางคำตอบที่ถูกกล่าวออกมา
ครูจึงยกประเด็นเรื่องบุหรี่ไฟฟ้ากับบุหรี่ขึ้นมาเป็นกรณีศึกษาเพื่อนำไปสู่การสนทนาบนพื้นฐานของการเก็บรวบรวมข้อมูลทางสถิติ
ครูถามนักเรียนเกี่ยวกับโทษของบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่ในห้องสามารถบอกได้ว่า มันไม่ดีต่อสุขภาพ บางคนแพ้กลิ่นนำยาบุหรี่ไฟฟ้า และรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นผิดกฎหมายสำหรับนักเรียนที่ยังเป็นเยาวชน และไม่ควรยุ่งเกี่ยว
แต่เมื่อครูถามนักเรียนว่า "แล้วเคยลองไหม?"
บางคนยอมรับ บางคนเงียบ และบางคนตอบอย่างหนักแน่นว่าไม่
ครูปล่อยให้นักเรียนฟังคำตอบของเพื่อนในห้อง บางคนก็แฉเพื่อนให้ครูฟังเมื่อเขาหรือเธอคนนั้นพูดไม่จริง
จากนั้นครูจึงส่งคำถามให้พวกเขาต่อไปว่า "แล้วคิดว่ารุ่นน้องพวกเราล่ะ แล้วโรงเรียนเราล่ะ เป็นยังไง?"
คำตอบของนักเรียน ที่ถูกกล่าวขึ้น เป็นเพียงประสบการณ์ของห้องเรียนนี้เพียงอย่างเดียว
เพื่อที่จะให้เห็นภาพรวม และอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ครูจึงกระตุ้นให้พวกเขาใช้การสำรวจข้อมูลทางสถิติ มาเป็นคำตอบของคำถามนี้
หัวใจของการทำกิจกรรมในการเรียนก็คือ การฝึกให้นักเรียนออกแบบ และสร้างแบบสอบถาม เพื่อนำเสนอข้อมูลที่เขาสนใจ
โดยครูให้นักเรียน เริ่มตั้งคำถามก่อนว่า อยากรู้อะไรเกี่ยวกับการสูบบุหรี่ไฟฟ้า และเราจะใช้แบบสอบถามว่าอะไรดี
ตัวอย่างคำถามที่เกิดขึ้น
- นักเรียนร้อยละเท่าใดที่เคยสูบบุหรี่ไฟฟ้า
- อายุน้อยที่สุดที่เริ่มลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า
- ค่าใช้จ่ายในการใช้บุหรี่ไฟฟ้า
- รู้โทษของบุหรี่ไฟฟ้าไหม
- ปัจจุบันยังสูบบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ไหม
เป็นต้น
จากนั้นครูจึงให้นักเรียน ตีความคำถามหลักนั้น ว่าควรจะใช้ข้อคำถามในแบบสอบถามว่าอะไร เพื่อนำไปให้กลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นรุ่นน้องในโรงเรียนทำ
การที่เราให้นักเรียนกำหนดคำถาม และออกแบบสอบถามเอง เหมือนเป็นการกระตุ้นความอยากรู้ ทำให้เขากล้าที่จะนำแบบสอบถามไปให้กลุ่มตัวอย่างทำ และได้ผลสำรวจที่สะท้อนข้อมูลที่แท้จริงมากกว่าการตอบแบบสอบถามที่ครูเป็นผู้ดำเนินการ
และครูยังสามารถนำข้อมูลนี้ มาเป็นองค์ประกอบในการวิเคราะห์สถานการณ์ของการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียนได้
เมื่อนักเรียนวิเคราะห์ และนำเสนอผลการสำรวจที่เก็บรวบรวมได้เป็นที่เรียบร้อย ครูและนักเรียนจึงพูดคุยกันเกี่ยวกับข้อมูลเกี่ยวกับผลการสำรวจซึ่งใช้ค่าวัดทางสถิติเป็นตัวแสดงผล
เช่น
นอกจากนี้ ในห้องเรียนยังมีการพูดคุยถึงความเห็นต่าง ๆ ที่ได้รับจากกลุ่มตัวอย่าง เช่น ความเห็นที่ชวนให้เลิกบุหรี่ไฟฟ้า , ความเห็นที่แสดงความตั้งใจที่จะเลิกสูบ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีความเห็นที่อยากให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายอยู่เช่นกัน
บทสรุปคาบสุดท้ายของการเรียน
ครูและนักเรียนพูดคุยกันถึงสถานการณ์บุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียน และความเห็นของนักเรียนว่า เมื่ออยู่สถานการณ์เช่นนี้ นักเรียนนั้นรู้สึกอย่างไร และในอนาคต นักเรียนอยากให้ลูกของนักเรียนอยู่ในสังคมแบบไหน? โรงเรียนควรมีบทบาทอย่างไร? นักเรียนควรปฏิบัติตัวเช่นไร? และเราสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง?
แม้ในตอนแรกจะมีบางคนที่มีความเห็นที่ไปในทางว่า บุหรี่ไฟฟ้านั้นไม่ได้เสียหายอะไร แต่เมื่อพูดถึงอนาคต ทุกคนต่างมีความเห็นในทางเดียวกันว่าไม่อยากให้ลูก ๆ ของพวกเขาสูบมันเลย
นักเรียนต่างแสดงความเห็นว่า ที่น้อง ๆ สูบกัน เพราะมันน่าลอง พวกเขาก็เคยอยากลองมาก่อน บางคนลองแล้วติด บางคนลองแล้วเลิกได้ แม้โทษของบุหรี่ไฟฟ้าจะไม่เห็นทันทีที่สูบเหมือนเหล้าที่ดื่มแล้วเมา แต่ผลเสียของสารต่าง ๆ ที่อยู่ในน้ำยามันค่อย ๆ ทำลายข้างในไปเรื่อย ๆ
"มันเป็นสิ่งเสพติด การติดไปแล้ว มันเลิกยาก แต่ถ้าเลิกได้ก็เลิกเถอะ ถือว่าครูขอก็แล้วกัน" ครูกล่าวสรุปและทิ้งท้าย ก่อนที่จะปล่อยให้นักเรียนไปเรียนคาบต่อไป
ไฟล์ที่เกี่ยวกับไอเดีย
ไฟล์ที่ 1 จากทั้งหมด 1