ใคร ๆ ก็อยากรู้วิธีการรับมือพฤติกรรมป่วน โดยไม่ต้องดุเด็ก ๆ ให้เสียบรรยากาศกัน เพราะนอกจากจะปรามพฤติกรรมเหล่านั้นได้ไม่นาน ยังอาจจะทำให้บรรยากาศในการเรียน หรือ ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนเสียหายในระยะยาวได้อีก
นี่จึงเป็นที่มาของการร่วมมือกันจัด Webinar insKru x Child Impact “รับมือห้องเรียนเจ้าอารมณ์” เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา เพื่อหาวิธีรับมือที่ไม่ต้องดุเพื่อหยุดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ และก็ยังรักษาบรรยากาศในห้องได้ด้วย โดยการจัด Webinar ครั้งนี้ ได้มีคุณครูมาแบ่งปันประสบการณ์ และทริควิธีรับมืออย่างสร้างสรรค์ 2 ท่านด้วยกัน ได้แก่ ครูบุ๋ม - ชุรีพร ทองเทพ ครูผู้ใช้ “จิตศึกษา และ จิตวิทยาเชิงบวก” และ ครูเปี๊ยก - วิสิทธิ์ ตออำนวย ครูผู้นำมุมมองเรื่อง ”ความเห็นอกเห็นใจกัน (empathy)” มาใช้ในห้องเรียน
“จิตศึกษา และ จิตวิทยาเชิงบวก” จากห้องเรียนของครูบุ๋ม เกิดขึ้นได้จากการใช้งานกันทั้งโรงเรียนทำให้เป็นนิเวศการสอนผ่านมุมมองแบบนี้ขึ้นมา โดย”จิตวิทยาเชิงบวก” ใคร ๆ ได้ยินคำนี้ก็คงคิดว่าต้องสะท้อนผ่านการมองโลกในแง่บวกของคุณครูเท่านั้นแน่ ๆ แต่จริง ๆ แล้วเป็นการมองโลกในแง่มุมปกติ เพียงแต่เพิ่มเติมความคำนึงถึงสิ่งที่มีผลดี เพื่อสะท้อนความรู้สึกนี้ เมื่อเราได้มีปฏิสัมพันธ์กันกับนักเรียนนั่นเอง
คุณครูอย่างเราสามารถเริ่มได้จากการค่อย ๆ ปรับมุมมองตัวเองก่อน โดยแบ่งเป็นการ “ลด” และ “เพิ่ม”
โดยเราเองก็ต่อยอดมุมมองเหล่านี้ สู่พฤติกรรมที่ทำเป็นกิจวัตรทุกวันได้ เช่น
นอกจากนี้เรายังสามารถนำกิจกรรม “จิตศึกษา” มาใช้งานเพื่อดึงสติ และรู้เท่าทันอารมณ์มาใช้ได้อีกด้วย โดยปกติแล้วกิจกรรมจิตศึกษาจะกระจายอยู่เป็น 3 ช่วงเวลาตลอดวัน ช่วงเช้า / ก่อนเรียนคาบบ่าย และ ก่อนเลิกเรียนตอนเย็น กิจกรรมเหล่านี้ก็เป็นเหมือนการออกกำลังกายสมอง ดึงสติเล็ก ๆ ให้เท่าทันระหว่างวันอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเราได้รู้ทันอารมณ์แล้ว ก็จะควบคุมได้ดีขึ้น ส่งผลให้พฤติกรรมในห้องลดลงตาม ๆ กัน
ตัวอย่างกิจกรรมจิตศึกษาที่ครูบุ๋มนำมาแบ่งปัน เช่น
”ความเห็นอกเห็นใจกัน (empathy)” จากห้องเรียนครูเปี๊ยก เกิดขึ้นจากการพยายามส่งต่อนักเรียนในการดูแลของครูเปี๊ยกในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ให้ระดับชั้นอื่น ๆ ที่สูงขึ้นไป โดยคาดหวังว่านักเรียนจะสามารถในการกำกับตัวเองได้ มีความภูมิใจ และความสามารถในการเติบโตต่อไป
คุณครูอย่างเราสามารถเริ่มได้จากการเข้าใจความต้องการพื้นฐานมนุษย์ ในเชิงจิตวิทยา ว่ามี 3 สิ่งนี้ที่ต้องการให้สมบูรณ์พร้อม นั่นก็คือ
เมื่อเราเข้าใจความต้องการเหล่านี้ เพื่อให้การดูแลนักเรียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็ต้องเข้าใจธรรมชาติลักษณะตามวัยเรียนด้วย เช่น ห้องเรียนครูเปี๊ยกอยู่ในช่วง ป.5-6 ครูเปี๊ยกเข้าใจถึงความเป็นเด็กวัยรุ่นว่า ความต้องการในช่วงวัยนี้มี “การสร้างอัตลักษณ์ของตนเอง” “การมีความสัมพันธ์กับคนที่รัก” “การหาสังกัดกลุ่มเพื่อน” “การวางแผนอนาคต”
ที่สำคัญอีกประเด็นนึงคือ ครูเปี๊ยกได้เข้าใจว่า นักเรียนในวัยเท่านี้ยังไม่สามารถจำอะไรได้เยอะ รวมถึงไม่อยากถูกจ้ำจี้จ้ำไชด้วยกฎที่มีมากมาย คุณครูจึงกลั่นออกมาเป็น “คอนเซปต์” ข้อตกลงที่จะอยู่ร่วมกันง่าย ๆ 2 ข้อ แต่ครอบคลุมไปถึงประเด็นใหญ่ ๆ ในชีวิตนักเรียน นั่นก็คือ “กำกับตัวเองให้เป็น” และ “มีความเห็นอกเห็นใจ (empathy) กับผู้อื่น”
ถ้าถามว่าเราต้องทำยังไงในห้องบ้าง จริง ๆ แล้วในช่วงเวลาปกติ ไม่ต้องทำอะไรมาก เราสามารถปล่อยให้นักเรียนได้ลองเรียนรู้ และเข้าใจการมีปฏิสัมพันธ์ รวมถึงพฤติกรรมที่มีต่อกันในห้องเรียนได้เลยอย่างอิสระ สิ่งที่เราต้องทำจริง ๆ คือการพูดคุยเมื่อเกิดสถานการณ์ที่ขัดกับ “คอนเซปต์” 2 ข้อข้างต้นที่ได้ตกลงกันไว้
ครูเปี๊ยกได้แบ่งปันประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องเรียนเป็นตัวอย่าง ในห้องเรียนของครู มีนักเรียนคนหนึ่งที่เก่งมาก เวลามีเกม หรือตอบปัญหาเขาจะได้คะแนนนำคนอื่นทุกครั้ง กลายเป็นที่หมั่นไส้ของเพื่อน ๆ วันนึงในคาบวิชาที่ครูเปี๊ยกไม่ได้สอน แต่เป็นประจำชั้น มีนักเรียนที่ย้ายเข้ามาเรียนซัมเมอร์ ด้วยความที่เรียนไม่ทันคนอื่น แล้วในห้องมีกิจกรรมให้ตอบปัญหาแข่งกันเล่น ๆ เลยมีการตกลงกันให้นักเรียนที่เพิ่งเข้ามาสามารถ”โยน”คะแนนให้คนอื่นได้ หากตอบผิด เลยเกิดเป็นการวางแผน”โยน”คะแนนลบให้นักเรียนที่เก่งมากคนนั้น จนตัวเด็กเขาไม่พอใจ โกรธ ฟึดฟัดขึ้น
ครูเปี๊ยกบอกว่านี่คือสถานการณ์ที่ต้องรีบเข้าไปคลี่คลาย โดยพูดคุยกับทั้ง 2 ฝั่ง เริ่มจากนักเรียนเก่งว่าพฤติกรรมที่ทำอยู่นั้นไม่เหมาะสม และไปพูดกับเพื่อน ๆ ที่แกล้งว่าให้มีความเห็นอกเห็นใจกันมากกว่านี้ ถ้าหากตัวเองเป็นเด็กที่เก่ง ซึ่งเก่งด้วยความตั้งใจ ความขยันของตัวเอง เเล้วถูกแกล้งแบบนี้จะรู้สึกยังไง
จะเห็นได้ว่าทั้ง 2 วิธี คือวิธีการจัดการห้องเรียนแบบสร้างสรรค์ที่ไม่จำเป็นต้องดุ ก็สามารถรับมือพฤติกรรมป่วนได้อยู่หมัด ส่งผลต่อไปทำให้นักเรียนได้รู้ตัว และเรียนรู้พฤติกรรมที่เหมาะสมส่งผลไปสู่การฝึกฝนการกำกับพฤติกรรมตนเองต่อไป
นอกจากนี้ยังจะสังเกตได้ว่า ครูเองก็เป็นส่วนสำคัญในการสร้างกิจกรรม หรือโอกาสที่ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้อีกด้วยเพราะฉะนั้น “สุขภาพจิตของครู” จึงมีผลกับการจัดการห้องเรียนเป็นอย่างมาก เราจึงต้องรู้อารมณ์ตัวเองก่อน หากไม่ไหว อย่าฝืน แต่ให้เลือกสื่อสารกับนักเรียนตรง ๆ แทน
ครูบุ๋ม และครูเปี๊ยกยังฝากบอกมาด้วยว่าอย่าเพิ่งหมดกำลังใจ ถ้านำวิธีเหล่านี้ไปใช้เเล้วไม่เกิดผลทันทีเพราะกว่าคุณครูทั้ง 2 ท่าน จะเห็นความเปลี่ยนแปลงก็ต้องใช้ความพยายามเป็นปีเหมือนกัน แต่มันจะค่อย ๆ ดีขึ้นจริง ๆ นะ
ถ้าสนใจวิธีรับมือแบบสร้างสรรค์ หรือเครื่องมือในการจัดการห้องเรียนแบบใน Webinar นี้อีก insKru และ Child Impact กำลังร่วมกันขับเคลื่อนประเด็นต่าง ๆ ให้คุณครูทำงานได้ง่ายดาย และสบายใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม ลองเข้าไปดูเครื่องมือใน https://bit.ly/ChildImpact-Main ได้เลยลย
แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru
เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย
ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!