inskru

“ไม่ต้องดุให้เสียบรรยากาศ ก็หยุดพฤติกรรมป่วนได้จริง !”

0
0
ภาพประกอบไอเดีย “ไม่ต้องดุให้เสียบรรยากาศ ก็หยุดพฤติกรรมป่วนได้จริง !”

สรุปจาก Webinar insKru x Child Impact 

ใคร ๆ ก็อยากรู้วิธีการรับมือพฤติกรรมป่วน โดยไม่ต้องดุเด็ก ๆ ให้เสียบรรยากาศกัน เพราะนอกจากจะปรามพฤติกรรมเหล่านั้นได้ไม่นาน ยังอาจจะทำให้บรรยากาศในการเรียน หรือ ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนเสียหายในระยะยาวได้อีก

นี่จึงเป็นที่มาของการร่วมมือกันจัด Webinar insKru x Child Impact “รับมือห้องเรียนเจ้าอารมณ์” เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา เพื่อหาวิธีรับมือที่ไม่ต้องดุเพื่อหยุดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ และก็ยังรักษาบรรยากาศในห้องได้ด้วย โดยการจัด Webinar ครั้งนี้ ได้มีคุณครูมาแบ่งปันประสบการณ์ และทริควิธีรับมืออย่างสร้างสรรค์ 2 ท่านด้วยกัน ได้แก่ ครูบุ๋ม - ชุรีพร ทองเทพ ครูผู้ใช้ “จิตศึกษา และ จิตวิทยาเชิงบวก” และ ครูเปี๊ยก - วิสิทธิ์ ตออำนวย ครูผู้นำมุมมองเรื่อง ”ความเห็นอกเห็นใจกัน (empathy)” มาใช้ในห้องเรียน


“จิตศึกษา และ จิตวิทยาเชิงบวก” จากห้องเรียนของครูบุ๋ม เกิดขึ้นได้จากการใช้งานกันทั้งโรงเรียนทำให้เป็นนิเวศการสอนผ่านมุมมองแบบนี้ขึ้นมา โดย”จิตวิทยาเชิงบวก” ใคร ๆ ได้ยินคำนี้ก็คงคิดว่าต้องสะท้อนผ่านการมองโลกในแง่บวกของคุณครูเท่านั้นแน่ ๆ แต่จริง ๆ แล้วเป็นการมองโลกในแง่มุมปกติ เพียงแต่เพิ่มเติมความคำนึงถึงสิ่งที่มีผลดี เพื่อสะท้อนความรู้สึกนี้ เมื่อเราได้มีปฏิสัมพันธ์กันกับนักเรียนนั่นเอง


คุณครูอย่างเราสามารถเริ่มได้จากการค่อย ๆ ปรับมุมมองตัวเองก่อน โดยแบ่งเป็นการ “ลด” และ “เพิ่ม”

  • ลดการเปรียบเทียบระหว่างตัวนักเรียนด้วยกันเองว่าใครดีกว่าใคร หรือตีค่าเด็ก ๆ ว่าเธอเรียนได้แค่นี้แหละ รวมไปถึงลดการใช้ความกลัว ความรุนแรงในการจัดการห้องเรียน
  • ขณะเดียวกันก็เพิ่มการมองนักเรียน ๆ บนพื้นฐานคุณค่าความเป็นมนุษย์ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน และเชื่อมั่นในตัวนักเรียนเองว่ามีความสามารถ และความคิดมากพอในการดูแลชีวิตตัวเองได้ โดยที่เราไม่ต้องเข้าไปแทรกแซง


โดยเราเองก็ต่อยอดมุมมองเหล่านี้ สู่พฤติกรรมที่ทำเป็นกิจวัตรทุกวันได้ เช่น

  • เสริมแรงนักเรียนที่มีพฤติกรรมดีอยู่แล้ว ให้เพื่อน ๆ ได้รับรู้ร่วมกันผ่านการชื่นชม เช่น ในห้องเรียนมีนักเรียนที่คุยเล่นกันจนทำการสอนต่อได้ยาก แทนที่เราจะเข้าไปดุ ตำหนิคนที่คุยเล่นกันเสียงดัง เราก็เลือกชื่นชมนักเรียนที่ตั้งใจฟังแทนให้เพื่อน ๆ เห็นเป็นตัวอย่าง
  • นอกจากแบบอย่างที่เกิดจากนักเรียนด้วยกันเองแล้ว เรายังสามารถทำตัวเป็นแบบอย่างให้นักเรียนเห็นได้ด้วย เช่น หากเราต้องการให้นักเรียนมีพฤติกรรมที่ดี มีความตรงต่อเวลา เราลงไปเข้าแถวให้ตรงเวลา พร้อมชวนนักเรียนไปด้วยกันได้ หรือ หากเราอยากให้มีความนอบน้อมกัน บนพื้นฐานของความเท่าเทียม เราเริ่มจากการทำให้เห็นว่าเราก็มีพฤติกรรมแบบนั้นเช่นกันได้เลย อย่างการขอบคุณ พูดจาสุภาพ ไม่โมโห หรือขึ้นเสียงใส่นักเรียน


นอกจากนี้เรายังสามารถนำกิจกรรม “จิตศึกษา” มาใช้งานเพื่อดึงสติ และรู้เท่าทันอารมณ์มาใช้ได้อีกด้วย โดยปกติแล้วกิจกรรมจิตศึกษาจะกระจายอยู่เป็น 3 ช่วงเวลาตลอดวัน ช่วงเช้า / ก่อนเรียนคาบบ่าย และ ก่อนเลิกเรียนตอนเย็น กิจกรรมเหล่านี้ก็เป็นเหมือนการออกกำลังกายสมอง ดึงสติเล็ก ๆ ให้เท่าทันระหว่างวันอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเราได้รู้ทันอารมณ์แล้ว ก็จะควบคุมได้ดีขึ้น ส่งผลให้พฤติกรรมในห้องลดลงตาม ๆ กัน

ตัวอย่างกิจกรรมจิตศึกษาที่ครูบุ๋มนำมาแบ่งปัน เช่น

  • การทำมือเป็นรูปหัวใจไอเลิฟยูข้างซ้าย อีกข้างทำเป็นมินิฮาร์ต แล้วสลับท่าของแต่ละมือไปมา เพื่อดึงสติในช่วงเช้า ให้นักเรียนจดจ่อ และพร้อมเรียนมากขึ้น
  • การชวนสื่อสารอย่างนิรนามกันผ่านหัวข้อที่ครูกำหนดให้ เมื่อครูพูดคำว่า “บูลลี่” นักเรียนรู้สึกอะไรบ้าง เขียนเสร็จส่งเข้ามาที่กองกลางเพื่อนำไปอ่าน จะได้เข้าใจความรู้สึกของกันและกันมากขึ้น
  • การนอนราบไปกับพื้นห้อง ทำ Bodyscan เพื่อระลึกสติที่ร่างกายของนักเรียน เนื่องจากตอนเที่ยงอาจจะมีกิจกรรมที่แอคทีฟมาก ทำให้ยังไม่นิ่ง พร้อมเรียน โดยครูบุ๋มเลือกทำกิจกรรมนี้ก่อนเริ่มเรียนคาบบ่าย
  • การล้อมวง พูดคุย สะท้อนความรู้สึกวันนี้ เพื่อให้ได้เรียนรู้และให้อภัยกันและกันหลังเลิกเรียน


”ความเห็นอกเห็นใจกัน (empathy)” จากห้องเรียนครูเปี๊ยก เกิดขึ้นจากการพยายามส่งต่อนักเรียนในการดูแลของครูเปี๊ยกในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ให้ระดับชั้นอื่น ๆ ที่สูงขึ้นไป โดยคาดหวังว่านักเรียนจะสามารถในการกำกับตัวเองได้ มีความภูมิใจ และความสามารถในการเติบโตต่อไป

คุณครูอย่างเราสามารถเริ่มได้จากการเข้าใจความต้องการพื้นฐานมนุษย์ ในเชิงจิตวิทยา ว่ามี 3 สิ่งนี้ที่ต้องการให้สมบูรณ์พร้อม นั่นก็คือ

  • ความรู้สึกว่าตนเองเป็นอิสระ สามารถจัดการชีวิตตัวเองได้ และมีความภูมิใจในตนเอง (Self-Esteem)
  • ความรู้สึกว่าตนเองนั้นมีความสามารถ ซึ่งตรงนี้จะคาบเกี่ยวกับเรื่องแรก หากรู้สึกว่ามีความสามารถในการจัดการเรื่องต่าง ๆ ด้วยตนเอง จะยิ่งทำให้มีความภูมิใจมากขึ้นด้วย
  • ความรู้สึกถึงสัมพันธภาพที่ดี มีความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างอย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นพ่อ-แม่ ครู หรือเพื่อนนักเรียนก็ตาม


เมื่อเราเข้าใจความต้องการเหล่านี้ เพื่อให้การดูแลนักเรียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็ต้องเข้าใจธรรมชาติลักษณะตามวัยเรียนด้วย เช่น ห้องเรียนครูเปี๊ยกอยู่ในช่วง ป.5-6 ครูเปี๊ยกเข้าใจถึงความเป็นเด็กวัยรุ่นว่า ความต้องการในช่วงวัยนี้มี “การสร้างอัตลักษณ์ของตนเอง” “การมีความสัมพันธ์กับคนที่รัก” “การหาสังกัดกลุ่มเพื่อน” “การวางแผนอนาคต”


ที่สำคัญอีกประเด็นนึงคือ ครูเปี๊ยกได้เข้าใจว่า นักเรียนในวัยเท่านี้ยังไม่สามารถจำอะไรได้เยอะ รวมถึงไม่อยากถูกจ้ำจี้จ้ำไชด้วยกฎที่มีมากมาย คุณครูจึงกลั่นออกมาเป็น “คอนเซปต์” ข้อตกลงที่จะอยู่ร่วมกันง่าย ๆ 2 ข้อ แต่ครอบคลุมไปถึงประเด็นใหญ่ ๆ ในชีวิตนักเรียน นั่นก็คือ “กำกับตัวเองให้เป็น” และ “มีความเห็นอกเห็นใจ (empathy) กับผู้อื่น”


ถ้าถามว่าเราต้องทำยังไงในห้องบ้าง จริง ๆ แล้วในช่วงเวลาปกติ ไม่ต้องทำอะไรมาก เราสามารถปล่อยให้นักเรียนได้ลองเรียนรู้ และเข้าใจการมีปฏิสัมพันธ์ รวมถึงพฤติกรรมที่มีต่อกันในห้องเรียนได้เลยอย่างอิสระ สิ่งที่เราต้องทำจริง ๆ คือการพูดคุยเมื่อเกิดสถานการณ์ที่ขัดกับ “คอนเซปต์” 2 ข้อข้างต้นที่ได้ตกลงกันไว้

ครูเปี๊ยกได้แบ่งปันประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องเรียนเป็นตัวอย่าง ในห้องเรียนของครู มีนักเรียนคนหนึ่งที่เก่งมาก เวลามีเกม หรือตอบปัญหาเขาจะได้คะแนนนำคนอื่นทุกครั้ง กลายเป็นที่หมั่นไส้ของเพื่อน ๆ วันนึงในคาบวิชาที่ครูเปี๊ยกไม่ได้สอน แต่เป็นประจำชั้น มีนักเรียนที่ย้ายเข้ามาเรียนซัมเมอร์ ด้วยความที่เรียนไม่ทันคนอื่น แล้วในห้องมีกิจกรรมให้ตอบปัญหาแข่งกันเล่น ๆ เลยมีการตกลงกันให้นักเรียนที่เพิ่งเข้ามาสามารถ”โยน”คะแนนให้คนอื่นได้ หากตอบผิด เลยเกิดเป็นการวางแผน”โยน”คะแนนลบให้นักเรียนที่เก่งมากคนนั้น จนตัวเด็กเขาไม่พอใจ โกรธ ฟึดฟัดขึ้น


ครูเปี๊ยกบอกว่านี่คือสถานการณ์ที่ต้องรีบเข้าไปคลี่คลาย โดยพูดคุยกับทั้ง 2 ฝั่ง เริ่มจากนักเรียนเก่งว่าพฤติกรรมที่ทำอยู่นั้นไม่เหมาะสม และไปพูดกับเพื่อน ๆ ที่แกล้งว่าให้มีความเห็นอกเห็นใจกันมากกว่านี้ ถ้าหากตัวเองเป็นเด็กที่เก่ง ซึ่งเก่งด้วยความตั้งใจ ความขยันของตัวเอง เเล้วถูกแกล้งแบบนี้จะรู้สึกยังไง


จะเห็นได้ว่าทั้ง 2 วิธี คือวิธีการจัดการห้องเรียนแบบสร้างสรรค์ที่ไม่จำเป็นต้องดุ ก็สามารถรับมือพฤติกรรมป่วนได้อยู่หมัด ส่งผลต่อไปทำให้นักเรียนได้รู้ตัว และเรียนรู้พฤติกรรมที่เหมาะสมส่งผลไปสู่การฝึกฝนการกำกับพฤติกรรมตนเองต่อไป


นอกจากนี้ยังจะสังเกตได้ว่า ครูเองก็เป็นส่วนสำคัญในการสร้างกิจกรรม หรือโอกาสที่ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้อีกด้วยเพราะฉะนั้น “สุขภาพจิตของครู” จึงมีผลกับการจัดการห้องเรียนเป็นอย่างมาก เราจึงต้องรู้อารมณ์ตัวเองก่อน หากไม่ไหว อย่าฝืน แต่ให้เลือกสื่อสารกับนักเรียนตรง ๆ แทน

ครูบุ๋ม และครูเปี๊ยกยังฝากบอกมาด้วยว่าอย่าเพิ่งหมดกำลังใจ ถ้านำวิธีเหล่านี้ไปใช้เเล้วไม่เกิดผลทันทีเพราะกว่าคุณครูทั้ง 2 ท่าน จะเห็นความเปลี่ยนแปลงก็ต้องใช้ความพยายามเป็นปีเหมือนกัน แต่มันจะค่อย ๆ ดีขึ้นจริง ๆ นะ


ถ้าสนใจวิธีรับมือแบบสร้างสรรค์ หรือเครื่องมือในการจัดการห้องเรียนแบบใน Webinar นี้อีก insKru และ Child Impact กำลังร่วมกันขับเคลื่อนประเด็นต่าง ๆ ให้คุณครูทำงานได้ง่ายดาย และสบายใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม ลองเข้าไปดูเครื่องมือใน https://bit.ly/ChildImpact-Main ได้เลยลย

สสสChildImpactinsKruพื้นที่แบ่งปันไอเดียการสอน

ไอเดียนี้เป็นไงบ้าง?

0
ได้แรงบันดาลใจ
0
ลงไอเดียอีกน้า~
avatar-frame
แบ่งปันโดย
insinsKru
insKru Official Account เราจะคอยผลักดันและเชิญชวนคุณครูมาร่วมสร้างสรรค์ไอเดียการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการศึกษาไทยต่อไป

อยากร่วมแลกเปลี่ยน?

please login

แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru

เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย

icon-please-commentมาเป็นคนแรกที่แลกเปลี่ยนสิ!
credit idea

ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!

ไอเดียน่าอ่านต่อ