🫡เรื่องวินัยในตัวนักเรียน เห็นผู้ใหญ่บอกว่าสำคัญ
เพราะคิดว่าวินัยนั้นจะทำให้การใช้ชีวิตในแต่ละวัน
ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย แถมครูอย่างเรา
ก็ไม่ต้องเหนื่อยใจในการกำกับดูแลนักเรียนอีกด้วย
แน่นอนเลยว่าวิธีการสอนวินัยในรั้วโรงเรียน
ให้เกิดขึ้นได้ คงไม่ใช้วิธีการเหมือนกับการสอน
วิชาการในคาบเรียนปกติที่ทำอยู่ทุกวันแน่
เราเลยอยากชวนทุกคนมาอ่านนิทานเรื่องนี้กัน
มาติดตาม “น้องเพิ่ม” กับเพื่อน ๆ นักเรียน
แลกเปลี่ยนในโรงเรียนของเขา เผื่อว่าจะได้เห็น
ความมีวินัยจากประเทศต่าง ๆ กันมากขึ้น
🏫ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใจกลางเมือง
มีเด็กชายคนนึงชื่อว่า “เพิ่ม” กำลังเรียนอยู่ที่นี้
ช่วงนี้ที่โรงเรียนของน้องเพิ่ม มีการจัดกิจกรรม
เฟ้นหาคนที่มีวินัยที่สุดในโรงเรียนอยู่
โดยโรงเรียนตั้งใจจะมอบขนมกับคน ๆ นั้นทุกเย็น
รวมถึงพาขึ้นเวทีไปชื่นชม และส่งเกียรติบัตรไป
ที่บ้านอีกด้วย เหตุผลที่โรงเรียนทุ่มเทลงทุน
ทำกิจกรรมขนาดนี้ก็เพื่อหวังว่านักเรียนในโรงเรียน
จะมีวินัย ไม่วิ่งซน หรือพูดคุยกันเสียงดังตอนเรียน
ให้คุณครูต้องมาบ่นเหนื่อยกันเหมือนทุกเมื่อเชื่อวัน
🏆แน่นอนว่ากิจกรรมรางวัลจัดเต็มขนาดนี้
เด็ก ๆ ทุกคนก็อยากจะเป็นคนนั้นที่ได้รับรางวัล
ซึ่งน้องเพิ่มก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
เพิ่มเลยตั้งใจจะสังเกตและถามเพื่อน ๆ ที่มา
เรียนแลกเปลี่ยนดูว่าเป็นยังไงบ้าง เพราะแต่ละคน
ก็มาจากแต่ละประเทศที่การสอนวินัยแตกต่างกัน
แบบนี้เพิ่มต้องได้เรียนรู้เรื่องนี้อย่างเต็มที่แน่เลยล่ะ
🇹🇭เริ่มจากตอนเช้า ช่วงเข้าแถวหน้าเสาธงเลย
น้องเพิ่มได้เจอกับเพื่อนคนแรกของเขาที่ชื่อว่า
“คิม” นักเรียนแลกเปลี่ยนจากเกาหลีเหนือ
ที่นั่นหน่ะ น้องเพิ่มได้ยินมาว่าเขามีวินัยกัน
สุด ๆ เลย จะเข้าแถว จะไปกินอาหาร หรือ
จะฝึกซ้อมรองเพลงชื่นชมท่านผู้นำก็ต้อง
เป็นระเบียบเรียบร้อย มีวินัย เป๊ะ ๆ ๆ
ไปทุกกระเบียดนิ้ว น้องเพิ่มรู้สึกว่าถ้าเรามีวินัยได้
สักครึ่งนึงของคิมเนี่ย ต้องได้รางวัลแน่เลย น้องเพิ่ม
รู้สึกว่าเพื่อนคนนี้น่าเป็นแบบอย่างทำตามอย่างมาก
“คิม นายนี่มันเท่ชะมัด เวลามาโรงเรียน
มาเข้าแถวตอนเช้าก็ยืนตรงเป๊ะ ไม่กระดุกกระดิก
ฉันว่านะ ที่เกาหลีเหนือต้องเคร่งเรื่องวินัยแน่ ๆ”
“แน่นอน ที่เกาหลีเหนือ เขาสอนเรามาว่าให้ยืนตรง
ยืนนิ่ง ๆ ไม่ปล่อยแขนขาให้งอหรือสั่น ยิ่งทำได้
แค่ไหนคือยิ่งมีระเบียบวินัยเท่านั้น หรืออย่าง
การร้องเพลง ยิ่งร้องดังก็คือยิ่งเป็นการประกาศ
ถึงความเคารพ และชื่นชมยังไงละ ถ้าร้องแบบว่า
อ้อมแอ้ม ๆ ก็คือไม่มีวินัย เพราะไม่ได้แสดง
ความเคารพตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม”
คิมพูดต่ออย่างภาคภูมิใจว่า “บางคนนะ
ร้องจนสุดเสียง หน้าดำหน้าแดงล้มไปก็มี
นั่นถือว่าเขามีวินัยดีเยี่ยมเลยแหละ”
น้องเพิ่มรู้สึกแปลกใจ ความมีระเบียบที่เราเห็น
จากคิม ไม่ต่างกับสิ่งที่เคยรู้จักมาก่อนหน้าเลย
ถ้าอย่างนั้นเราลองสังเกตเพื่อน ๆ คนอื่นด้วยดีกว่า
👩🏫พอเข้าแถวเสร็จก็ถึงเวลาเรียนแล้ว
ในห้องเรียนวันนี้น้องเพิ่มได้นั่งข้าง ๆ “เล็กซ์”
นักเรียนแลกเปลี่ยนที่มาจากเยอรมนี ซึ่งเพิ่มเอง
เคยได้ยินมานะว่าการเรียนที่นั่นกับที่ไทยต่างกันอยู่
ที่นั่นเขาตั้งใจให้เด็ก ๆ สามารถคิดวิเคราะห์เอง
และสามารถดูแลชีวิตตัวเองได้ จะว่าไปเพิ่มเห็น
เล็กซ์เดินทางมาโรงเรียนเองด้วยรถเมล์อยู่ทุกวันเลย
แถมเมื่อกี้ก่อนเริ่มคาบ เล็กซ์ก็เป็นคนนำแก้วน้ำ
ที่ยังกินไม่หมดวางไว้หน้าห้องอีกด้วย ซึ่งเป็นไปตาม
กฎของห้องเลย ทั้ง ๆ ที่ครูยังไม่ได้ทักอะไรสักแอะ
เหมือนว่านี่ก็คือส่วนนึงของวินัยที่เราพูดกันอยู่
ลองเข้าไปคุยกับเล็กซ์ดูหน่อยก็คงไม่เสียหายเนาะ
“เล็กซ์ ทำไมนายถึงเอาแก้วน้ำไปทิ้งแล้วละ
ยังกินไม่หมดเลยนี่” เล็กซ์จึงตอบกลับว่า
“อ่อ เพิ่ม มันเป็นกฎในห้องเรานิ เราคิดว่า
ถ้าเอาแก้วน้ำเข้าไปในห้องแล้วมันจะหกได้
นี่ไง เราว่ากฎข้อนี้มีเหตุผล เราถึงควรทำตาม”
น้องเพิ่มของเราไม่ได้พูดอะไร ยังงุนงงอยู่
นี่คือวินัยเหรอ ทำไมเราต้องมีเหตุผลในการ
ทำตามกฎด้วยเหรอ แค่ทำ ๆ ไปก็ดี ก็เรียบร้อยแล้วสิ
เหมือนเล็กซ์จะรู้คำถามในใจเพิ่มเข้า เลยอธิบายต่อ
“คืออย่างนี้ ที่เยอรมนีบ้านเกิดฉันนะ เขาเปิดโอกาส
ให้พวกเราได้คิด ตัดสินใจ อย่างอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ
อย่างการตั้งกฎในห้องเรียนเนี่ย เขาก็เปิดพื้นที่
ให้เราได้คิดร่วมกัน พอคิดกฎแล้ว ก็ให้คิดถึงเหตุผล
และเสนอวิธีต่าง ๆ ในการป้องกันไม่ให้เกิดด้วย
ของพวกนี้แหละที่ทำให้เรารู้สึกได้คิด
ได้กำหนดตัวเองขึ้นมา”
น้องเพิ่มเปลี่ยนสีหน้าเป็นความเข้าใจ คำว่า ”วินัย”
ก็ไม่จำเป็นต้องสอนผ่านรูปแบบของการเข้าแถว
ร้องเพลงดัง ๆ ก็ได้ แต่สามารถสอนในรูปแบบนี้
ได้อีกด้วยเรอะเนี่ย
🍛หลังจากเข้าเรียนช่วงเช้าเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาทาน
อาหารเที่ยงพอดี น้องเพิ่มกำลังต่อแถวอยู่ข้างหลัง
“คิโกะ” นักเรียนแลกเปลี่ยนจากญี่ปุ่น
แถวก็ยาวเหยียดมีคนรออยู่เกือบร้อยได้มั้ง
เพิ่มกำลังกระวนกระวาย ต่อแถวมาตั้งนานแล้ว
ยังไม่ได้ข้าวเที่ยงสักที อยากรีบกินรีบไปเตะบอลแล้ว
ในขณะที่คิดอยู่เพิ่มก็เห็นคิโกะที่ยืนรออย่างใจเย็น
จนนึกขึ้นมาได้ว่าที่ญี่ปุ่นเองก็เป็นอีกหนึ่งประเทศ
ที่ขึ้นชื่อเรื่องความมีวินัย ไม่ว่าจะเป็นการต่อแถว
ความตรงต่อเวลา หรือการรักษาความสะอาดก็ตาม
แล้วทำไมกันละเด็กญี่ปุ่นถึงมีความอดทน
และมีวินัยได้ขนาดนี้ ไม่รอช้า เพิ่มชวนคุยทันที
“คิโกะ ทำไมเธอถึงใจเย็นกับการต่อแถวขนาดนี้อะ
ไม่อยากรีบกินข้าว รีบไปเล่นเหรอ เป็นเรานะ…
เราแอบลัด ๆ เข้าไปแล้ว” เพิ่มพูดแบบทีเล่นทีจริง
“เราก็อยากรีบกิน รีบไปเล่นไม่ต่างกันนั่นแหละ
แต่ถ้าต้องลัดคิวก็คงไม่แฟร์กับคนก่อนหน้าเรานะ”
คิโกะพูดต่อว่า “ที่ญี่ปุ่นหน่ะ เขาสอนเรามาให้คิดถึง
และเคารพซึ่งกันและกัน ถ้าเรามาต่อแถวก่อน
แต่ได้ของทีหลังก็คงไม่แฟร์ใช่ม้า พอคิดได้อย่างนี้
เราก็ไม่อยากทำกับคนอื่นต่อด้วย คิโกะว่าเรื่องนี้
มันส่งต่อไปเรื่องอื่น ๆ อย่างเวลานัดเพื่อน
เราก็คงไม่อยากรอ เลยต้องไปตรงเวลา
หรือถ้าเราไม่ได้ทำเวร ทำความสะอาดห้องเรียน
พรุ่งนี้มาใช้ห้องเรียนก็อาจจะเปื้อนได้อย่างนี้ละมั้ง”
พอได้ยินอย่างนี้ น้องเพิ่มก็หายสงสัยแล้ว
ว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงดูมีวินัยในการใช้ชีวิตจัง
🛝หลังจากเรียนช่วงบ่ายเสร็จ ระหว่างรอพ่อแม่มารับ
เพื่อที่จะกลับบ้าน น้องเพิ่มก็เลือกไปเล่นที่
สนามเด็กเล่นสักหน่อย ในสถานที่แบบนี้
น้องเพิ่มไม่คิดหรอกนะว่าจะได้มาสังเกต
และเรียนรู้เรื่องวินัยจากใครได้อีก
สนามเด็กเล่น ก็แค่เอาไว้เล่นสไลเดอร์
เล่นทรายก็พอแล้ว ในตอนนั้นเอง “เดมัน”
เพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนจากเนเธอร์แลนด์
ก็ได้เข้ามาชวนเพิ่มเล่นกับเขาพอดี
“เพิ่ม เรามาเล่นห้อยโหนกันดีกว่า นั่นไงสูง ๆ เลย
น่าตื่นเต้น” เดมันชวนเพิ่มอย่างคึกคัก
“ไม่เอาดีกว่าเดมัน มันน่ากลัวนะ ปกติเวลาเราจะเล่น
ห้อยโหนอันนี้หน่ะ พ่อแม่ต้องมาดูอยู่ข้าง ๆ
สนามเด็กเล่นด้วย เราคงเล่นไม่ได้หรอก”
น้องเพิ่มชี้นิ้วไปที่รอบ ๆ สนามเด็กเล่น เดมันมองไป
เห็นสายตาของผู้ใหญ่หลายสิบคู่ ที่กำลังจับจ้อง
ลูกหลานของตัวเองอยู่ เดมันจึงพูดกับเพิ่มว่า
“นายรู้มั้ย เราไม่เคยเห็นพ่อแม่มาดูลูก
ด้วยความเป็นห่วงเยอะขนาดนี้มาก่อนเลย”
“อ้าว ทำไมล่ะ ?” เพิ่มถามด้วยความสงสัย
“ที่เนเธอร์แลนด์หน่ะ ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ไม่รักเรานะ
แต่เป็นเพราะพ่อแม่อยากให้เรามีวินัย จัดการชีวิต
ของตัวเองได้ เลยให้พวกเราออกไปเล่น
สนามเด็กเล่นตั้งแต่ 4 ขวบแหนะ แต่ไม่ได้น่ากลัว
อย่างที่คิดนะ เพราะมีสนามเด็กเล่นอยู่ทุกหัวมุม
ถนนในเมืองเลยละ”
“โห ตั้งแต่ 4 ขวบ…” น้องเพิ่มนั่งพึมพัมพร้อมนึก
สักพักว่า ตอนเรา 4 ขวบกำลังทำอะไรอยู่นะ
เดมันเสริมต่อว่า “นอกจากที่เราจะได้จัดการเวลา
จัดการชีวิตเองแล้ว พ่อแม่ยังเชื่อใจให้เราเข้าสังคม
กับเพื่อน ๆ ผ่านการพูดคุย และเล่นกับเพื่อน ๆ
ร่วมถึงเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจจะเกิด
ระหว่างการเล่นกันด้วย ทั้งหมดเกิดขึ้นได้
เพราะผู้ใหญ่เชื่อใจให้เราได้ลองยังไงละ”
น้องเพิ่มประหลาดใจ ว่า “วินัย” ที่ตนเองกำลัง
ตามหาก็สามารถเกิดขึ้นจากการเล่นก็ได้เรอะเนี่ย
🤔วันนี้เพิ่มได้กลับมาตกตะกอนจากทั้งหมดที่ได้
สังเกตและเรียนรู้มา กับเพื่อน ๆ ที่เรียนแลกเปลี่ยน
หลากหลายเชื้อชาติ และได้เข้าใจว่า การสร้างวินัย
มีหลากหลายรูปแบบมากกว่าที่เคยรู้มามาก ๆ เลย
มากไปกว่านั้น “วินัย” จะเกิดขึ้นมาได้ก็ต้องมี
สภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดขึ้นควบคู่กันไปด้วย
ถ้าไม่มีผู้ใหญ่ทำให้เห็น เด็ก ๆ อย่างน้องเพิ่ม
ก็จะไม่ได้เห็นแบบอย่าง และไม่สามารถทำตามได้
พูดง่าย ๆ ว่า “ยิ่งผู้ใหญ่มีวินัยให้เด็กเห็น
จะยิ่งส่งเสริมวินัยของพวกเขาได้นั่นเอง”
💖น้องเพิ่มดีใจมากที่ได้เพิ่มพูนความเข้าใจเรื่องวินัย
และได้เห็นว่าการมีวินัยนั้นสามารถสอดแทรก
ไปกับชีวิตประจำวันได้ส่งผลให้เรารับผิดชอบ
และจัดการตัวเองได้จริง
เมื่อเรามีวินัยแล้วก็จะทำให้ทั้งตัวเอง ทั้งคนรอบตัว
สามารถใช้ชีวิตกันได้เรียบร้อยขึ้น โดยไม่ต้องมี
ของรางวัล หรือขนมมาจูงใจอีกต่อไป
🌟ถึงนิทานเรื่องนี้จะจบลงที่ตัวของน้องเพิ่ม
โดยที่เราไม่รู้เลยว่าเป็นยังไงต่อ
แต่เราอยากชวนคุณครู มาแต่งเติมตอนต่อไป
ของเรื่องราวความมีวินัยในห้องเรียนตัวเองไปด้วยกัน
ลองนำมุมมองการสร้างวินัยจากหลาย ๆ ประเทศ
ไปลองทำกันได้น้า
คุณครูลองนำวิธีไหนไปใช้ ได้ผลเป็นอย่างไรบ้าง
ก็สามารถมาแบ่งปันตอนต่อไปของนิทานเรื่องนี้กัน
ได้ที่ช่องคอมเมนต์เลยน้า