ในการเรียนการสอนไม่ว่าจะในวิชาใดก็ตาม ย่อมมีการใช้สื่อการสอนเสมอ ซึ่งในปัจจุบันสื่อการสอนได้มีหลากหลายรูปแบบ เช่น สื่อการสอนที่เป็นสื่อทำมือ สื่อเทคโนโลยี เพลง วีดีทัศน์ เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นสื่อทำมือหรือสื่อเทคโนโลยี ต่างก็ส่งผลดีในการเรียนรู้ของนักเรียนเหมือนกัน
สำหรับสื่อทำมือ เป็นสื่อที่ให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านของจริง เกิดการสัมผัส เกิดความสมจริง โดยการเรียนรู้ที่เด็กได้จับต้องสื่อจริงๆ ก็จะทำให้พัฒนาการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี ช่วยในเรื่องความจำ เป็นต้น ซึ่งสื่อทำมือนี้อาจทำมาจากวัสดุเหลือใช้ที่มีอยู่ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ของครูผู้สอนด้วย โดยข้อดีของสื่อทำมือนี้ ไม่ว่าเราจะไปสอนที่โรงเรียนใดก็ตาม เราก็สามารถใช้สื่อได้ทันที ไม่ต้องกังวลว่าโรงเรียนมีเครื่องฉายสไลด์ มีอินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์หรือไม่
นอกจากสื่อทำมือแล้ว สื่อเทคโนโลยี ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทในการเรียนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคโนโลยีจะช่วยกระตุ้นให้เด็กเกิดความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ และเกิดความใฝ่รู้ เพราะเป็นการเรียนรู้ผ่านสื่อใหม่ๆ บทเรียนต่างๆก็เป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิคที่มีรูปภาพประกอบสวยงาม ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เด็กเกิดความอยากรู้อยากเรียนมากขึ้น
การเลือกใช้สื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับผู้เรียนและเนื้อหาก็มีความสำคัญเช่นกัน สื่อการเรียนการสอนมีหลายประเภท หลายชนิด การนำเอามาใช้ต้องเลือกให้เหมาะสมจึงจะเกิดประโยชน์เต็มที่ ซึ่งเป็นหน้าที่ของครูผู้สอนของที่จะต้องพิจารณาตัดสินใจ โดยจะต้องเลือกสื่อให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ว่าจะนำสื่อไปใช้ในด้านใด
ดังนั้น สื่อการสอน มีความสำคัญต่อผู้เรียนเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ กระตุ้นให้นักเรียนสนใจบทเรียนมากยิ่งขึ้นและยังกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์ อีกทั้งยังเป็นการให้นักเรียนได้เรียนรู้จากสื่อที่มีความแตกต่างจากบทเรียนทั่วๆไปการเลือกนำสื่อการสอนมาใช้นั้นขึ้นอยู่กับความสามารถและความถนัดของครูผู้สอนและจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่เกิดกับนักเรียนให้มากที่สุด
ขั้นนำ
๑. นักเรียนอ่านคําที่ครูกําหนดให้แล้วบอกความหมายของคํานั้น ๆ โดยครูนําบัตรคำศัพท์(ซองผ้าป่า)ที่เป็นภาษาพูดและภาษาเขียนมาให้นักเรียนอ่าน
ยังไง
อย่างไร
กิน
รับประทาน
๒. ครูตั้งคําถามชวนคิด ดังนี้
ครู : นักเรียนอ่านคําที่กําหนดให้สังเกตเห็นความเหมือนหรือแตกต่างของคําหรือไม่ อย่างไร
นักเรียนร่วมกันตอบคําถาม ดังนี้
นักเรียน : สิ่งที่เหมือนคือ ความหมาย แต่ที่ต่างกันคือ การเขียน อธิบายได้ว่า “ยังไง แปลว่า อย่างไร” “กิน แปลว่า รับประทาน”
๓. นักเรียนตอบคำถามว่าคำที่ครูกำหนดให้เป็นภาษาพูดหรือภาษาเขียน โดยใช้บัตรพลิกเกอร์ (PlickersCards)ในการตอบคำถาม โดยครูนําบัตรคำศัพท์(ซองผ้าป่า)ที่เป็นภาษาพูดหรือภาษาเขียนมาถามนักเรียน และครูตรวจคำตอบผ่านแอปพลิเคชัน Plickers เป็นการทดสอบความรู้เดิมของนักเรียน
๔. ครูเฉลยคำตอบโดยการเสียบคำศัพท์(ซองผ้าป่า)ใส่ไม้เสียบ นำไปปักบนต้นผ้าป่า ภาษาพูด ภาษาเขียน แล้วเชื่อมโยงเข้าสู่บทเรียน
ขั้นสอน
๑. นักเรียนร่วมกันอภิปรายความรู้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่อง “ลักษณะของภาษาพูดและภาษาเขียน” จากการศึกษาใบความรู้ “ฎีกาผ้าป่า ภาษาพูด ภาษาเขียน”
๒. ครูตั้งคําถามเพื่อให้นักเรียนเปรียบเทียบภาษาพูดและภาษาเขียน ดังนี้
ครู : ระหว่างคำว่า “ผัวเมีย” กับคําว่า “สามีภรรยา” นักเรียนคิดว่าสองคํานี้ ความหมายเหมือนกันหรือไม่ นําไปใช้ต่างกันอย่างไร
นักเรียน : เปรียบเทียบได้ว่า คําว่า “สามีภรรยา” มีความสุภาพมากกว่าคำว่า “ผัวเมีย”
๓. นักเรียนร่วมกันสรุปหลักการของภาษาพูดและภาษาเขียน ครูสรุปหลักการเพิ่มเติม เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน
๔. ครูสุ่มแจกบัตรคำศัพท์(ซองผ้าป่า)ให้นักเรียนคนละ ๒ ใบ เพื่อนำมาใช้ในการทำใบงาน เรื่อง เปรียบเทียบภาษาพูดกับภาษาเขียน โดยนักเรียนแลกเปลี่ยนบัตรคำศัพท์(ซองผ้าป่า)กับเพื่อนให้ครบ ๑๐ ใบ (๑๐ ข้อ)
๕. เมื่อนักเรียนทำใบงานเสร็จแล้วให้นำบัตรคำศัพท์(ซองผ้าป่า)ที่ได้ มาใส่ไม้เสียบ นำไปปักบนต้นผ้าป่า ภาษาพูด ภาษาเขียน ให้ถูกต้อง
ขั้นสรุป
๑. นักเรียนร่วมกันอ่านคำประพันธ์เรื่อง ภาษาพูดกับภาษาเขียน และสรุปความรู้ร่วมกัน ดังนี้
“ภาษาพูดนั้นเรียบง่ายไม่ยุ่งยาก เหมือนเช่นกับภาษาปากในการใช้
ภาษาเขียนมีแบบแผนจำขึ้นใจ เปรียบเทียบได้สื่อสารถูกรู้หลักการ”
๒. ครูตั้งคำถามนำสรุปว่า
ครู : นักเรียนจะนำความรู้เรื่อง ภาษาพูด ภาษาเขียน ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไรบ้าง
นักเรียน : ใช้ภาษาพูดและภาษาเขียนให้ถูกต้องตามหลักการและถูกต้องเหมาะสมในชีวิตประจำวัน
๑. ช่วยกระตุ้นและสร้างความสนใจ สร้างบรรยากาศในห้องเรียนและให้กับผู้เรียน
๒. แก้ไขปัญหาในการเรียนการสอน
๓. ส่งเสริม พัฒนานักเรียนในการจัดการเรียนการสอน
๔. ช่วยให้การสื่อสารระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนเข้าใจตรงกัน
๕. ช่วยให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
๖. ผู้เรียนทบทวนความรู้เองได้ง่าย
๑. ก่อนจัดการเรียนการสอนโดยใช้สื่อ ทอดผ้าป่า ภาษาพูด ภาษาเขียน ครูควรศึกษารายละเอียดต่าง ๆ เพื่อจะได้ให้คำแนะนำกับนักเรียนได้อย่างถูกต้อง เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้สื่อให้ดียิ่งขึ้น
๒. ครูควรมีบัตรคำศัพท์(ซองผ้าป่า)หลายชิ้น เพื่อเพิ่มคลังคำศัพท์ให้ผู้เรียน และเพื่อความรวดเร็วในการจัดกิจกรรม
๓. ครูควรพิมพ์ความหมายเพิ่มในบัตรคำภาษาเขียน กรณีบัตรคำศัพท์(ซองผ้าป่า)เป็นศัพท์ยาก
๔. ครูควรศึกษาวิเคราะห์หลักสูตร แผนการจัดการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ และขอบข่ายเนื้อหา ก่อนนำไปประยุกต์ใช้ในช่วงชั้นหรือรายวิชาอื่น ๆ
แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru
เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย
ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!