❤️🔥คุณครูคงเคยเจอเด็กสุดจี๊ด ป่วน ซน
จนอารมณ์เราพุ่งมาบ้าง อยากจัดการนักเรียนให้ดี
แต่ไม่อยากตี ไม่อยากดุ ให้บรรยากาศไม่ดีใช่มั้ย?
วันนี้ insKru และ ChildImpact ขอเปิดประตูมิติ
ชวนดูวิธีจัดการห้องเรียนให้ไม่ต้องมาดุกัน
และยังทำให้มีแต่บรรยากาศดี ๆ ได้ด้วย
เป็นยังไงไปดูกัน !
🔥คุณครูคงเคยเจอเด็กสุดจี๊ด ป่วน ซน
จนอารมณ์เราพุ่งมาบ้าง อยากจัดการนักเรียนให้ดี
แต่ไม่อยากตี ไม่อยากดุ ให้บรรยากาศไม่ดีใช่มั้ย?
วันนี้ insKru และ ChildImpact ขอเปิดประตูมิติ
ชวนดูวิธีจัดการห้องเรียนให้ไม่ต้องมาดุกัน
และยังทำให้มีแต่บรรยากาศดี ๆ ได้ด้วย
เป็นยังไงไปดูกัน !
🥰จากคอนเทนต์ก่อนหน้าเราเห็นแล้วว่า
จะอารมณ์ไหนๆ เราก็สามารถรู้เท่าทันได้
และไม่จำเป็นต้องปฏิเสธสิ่งนี้ไป
อารมณ์โกรธที่คุณครูรู้สึกนั้นก็เช่นกันนะ
แต่วิธีจัดการอารมณ์ตัวเอง และจัดการห้องเรียน
ก่อนเกิดความรู้สึกโกรธแบบนี้ซ้ำ ๆ
เป็นเรื่องที่สำคัญกว่า
😱ลองมาดูตัวอย่างของครูคนนี้
ในกลุ่ม insKru ครูปล่อยของกัน
คุณครูบอกว่าในห้องเรียนของเขามีนักเรียนที่
ชอบก่อกวน ชวนเพื่อนคุยเสียงดัง พูดคำหยาบ
ขัดคอ ทำให้ครูรู้สึกอารมณ์พุ่งมาก แถมนักเรียนคนนี้
ไม่ได้ทำแบบนี้กับครูคนอื่น ๆ ด้วย เหมือนตั้งใจ
แกล้งเราคนเดียวเลย
🤯ครูคนนี้ได้จบโพสต์ในกลุ่มด้วยคำถามว่า
“ควรปล่อยไปเลยหรือต้องทำอย่างไร
ไม่ให้กวนการสอนอีก” โมเมนต์นี้นี่แหละคือโมเมนต์
ที่คุณครูน่าจะเคยเจอกันอยู่บ่อยครั้ง ในช่วงเวลาที่
เรามีน้ำโหขึ้นมา และต้องเผชิญหน้ากับ
“ทางเลือก” ด้วยตัวเอง
จะเลือกอะไรดีระหว่างการปล่อยไปตามสะดวก
ของนักเรียน แล้ววันนึงก็ไปเรียนรู้พฤติกรรมเอง
หรือจะจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาหน้างานดี
โดยการจัดการนี้ ก็ยังแบ่งเป็นการจัดการระยะสั้น
และระยะยาวอีก ที่น่าหนักใจก็เพราะว่า
“การแก้ปัญหาในระยะสั้น” อย่างการดุ การตี
ได้ผลดีแค่สั้น ๆ แถมยังไปทำร้ายจิตใจ
และความสัมพันธ์ ไว้เนื้อเชื่อใจที่มีต่อกัน
ในขณะที่ “การแก้ปัญหาระยะยาว” ถึงจะ
สอดคล้องกับความคิดมนุษยนิยม
และไม่ทำร้ายความรู้สึกของนักเรียน
แต่บางทีมันใช้เวลานานมาก
จนเราหมดแรง หมดใจ ไม่เห็นว่าพฤติกรรมนี้
จะเปลี่ยนได้ยังไงเลย
แล้วอย่างนี้ต้องใช้วิธีการรับมือแบบไหน
ถึงจะได้ผลดี โดยไม่ทำร้ายจิตใจกัน
เพราะเราเชื่อว่าคงไม่มีครูคนไหนที่อยากดุ บ่น
นักเรียน ในทุก ๆ คาบ ปวดหัวกับการรับมือ
ความดื้อความซนหรอก
🙌ครูเปี๊ยกก็เป็นหนึ่งคนที่เคยเจอปัญหาแบบนี้
โดยคุณครูได้บอกว่า นักเรียนกำลังก้าวเข้าสู่วัยรุ่น
พ่อแม่เขาก็ต้องเตรียมตัวในช่วงนี้ที่เขาเปลี่ยนแปลง
ผมก็เลยเอาจิตวิทยาวัยรุ่นมาให้พ่อแม่ได้รู้
ไปพร้อมกันเลยจะได้ช่วยดูแลกันได้
เราได้รู้ว่าช่วงวัยรุ่นเขาจะเริ่มออกห่างจากเรา
มากขึ้นแล้วอยู่กับเพื่อนมากขึ้นนะ
สายสัมพันธ์เดี๋ยวจะช่วยให้ดึงไว้ได้
เราก็ได้ใช้จิตวิทยาวัยรุ่นแล้วเห็นผล
จึงแนะนำผู้ปกครองไปในวันปฐมนิเทศ
เพื่อให้พ่อแม่นำสิ่งนี้ไปใช้ต่อในบ้านของตัวเอง
เราต้องปูเรื่องของความหลากหลายของแต่ละบ้าน
กฎของเขา กฎของครู อาจไม่เหมือนกันก็ได้
บางบ้านบังคับบางบ้านไม่บังคับ แต่ว่าในห้องเรียน
จำเป็นต้องมีกฎเรื่องนี้อยู่
และนักเรียนต้องปฏิบัติตามกันด้วย
💖ครูเปี๊ยกได้บอกกับเราเพิ่มเติมว่า การสอนวัยรุ่น
ในแบบของครูเปี๊ยก จริง ๆ แล้วนักเรียนจะจำ
เรื่องไม่ได้มาก เลือกเฉพาะแก่นมาก็เพียงพอแล้ว
โดยคุณครูเน้นไปที่เรื่อง Empathy
“สิ่งใดไม่ปรารถนา สิ่งนั้นอย่าทำกับคนอื่น”
หากนักเรียนไม่นึกถึงคนอื่นเนี่ย มันจะมีปัญหา
เกิดขึ้นตามมานะ เมื่อนักเรียนได้เข้าใจว่า
พฤติกรรมที่ตัวเองทำนั้นไม่เหมาะสม
ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี หรือต้องเดือดร้อนแล้วละก็
จะได้ย้อนนึกถึงตัวเองด้วย ว่าหากเขาถูกกระทำ
แบบนี้บ้าง จะรู้สึกอะไร พอได้ย้อนนึกแบบนี้
นักเรียนก็จะไม่ทำพฤติกรรมนั้น ๆ ที่ไม่ดีอีก
ช่วยลดความจี๊ดของคุณครูไปได้มาก
ถือเป็นการวางแนวทางการแก้ปัญหา
ระยะยาวได้เป็นอย่างดี
💡ครูเปี๊ยกบอกกับเราเพิ่มเติมว่า ไม่ว่าจะเจอ
สถานการณ์ที่หนักหนาแค่ไหน เราก็ไม่ควรปรี๊ด
ออกมาให้นักเรียนได้เห็น เพราะนอกจากจะขัดกับ
เรื่อง empathy ที่สอนไปแล้ว
ยังเสียหายเยอะในเชิงกลยุทธ์ด้วย
เด็ก ๆ เขาจะคุยกันเองอยู่ เขาจะส่งต่อผ่านรุ่นสู่รุ่น
ทำให้ภาพลักษณ์ของเราเสียหาย เมื่อภาพลักษณ์เรา
เสียหาย นักเรียนก็จะไม่ไว้ใจเรา
เกิดเป็นความระแวงขึ้นมา
🌟เรื่อง empathy ที่ครูเปี๊ยกใช้งานและได้ผลจริง
ทำให้เรานึกถึงเครื่องมือนึงที่เรียกว่า S.A.F.E.
ซึ่งเป็นเครื่องมือที่คุณครูและผู้ปกครอง
สามารถลองนำไปใช้เพื่อสร้างแวดล้อมที่ดี
เอาใจใส่ให้นักเรียนของเราเกิดทักษะทางอารมณ์
และสังคมที่ดีได้ พร้อมวางรากฐาน
เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาในระยะยาว
ทำให้เราไม่ต้องมาปรี๊ดแตกกันบ่อย ๆ อีกต่อไป
ซึ่งเกิดขึ้นได้จากแวดล้อมในห้องเรียนของเรา
ที่ถูกวางพื้นฐานมาอย่างดีแล้วนั่นเอง
ซึ่งเครื่องมือ S.A.F.E นี้ประกอบไปด้วย
S - Support “การสนับสนุน”
A - Affirm “การแสดงความเห็นพ้อง”
F - Familiarise “การทำให้คุ้นเคย”
E - Empathise “การเอาใจใส่”
แต่ละองค์ประกอบจะมีรายละเอียดวิธีการ
ทำยังไงในห้องเรียนของเราบ้าง ไปดูกันต่อได้เลย !
💪S - Support “การสนับสนุน” คือการทำให้นักเรียน
รู้สึกมั่นใจ มั่นคง ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
ในห้องเรียน เมื่อหันมาแล้ว เขาจะยังเจอคน ๆ นึง
ที่จะคอยช่วยเหลือ ดูแล และสนับสนุนอยู่ตลอดเวลา
หากถามว่าเซนส์ความรู้สึกตรงนี้ เราสามารถมีส่วน
ทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร จริง ๆ แล้ว เซนส์ของการ
ได้รับการ “ซัพพอร์ต” จากคุณครู
สามารถเริ่มต้นได้ง่าย ๆ จากการลองสังเกต
ดูว่านักเรียน ชอบ หรือ ไม่ชอบทำอะไร
และร่วมถามเพื่อแสดงความสนใจในความชอบ
ของนักเรียนผ่านการถามกว้าง ๆ เป็นคำถาม
ปลายเปิด เมื่อเราได้รับรู้แล้วว่านักเรียนของเรานั้น
ชอบหรือไม่ชอบอะไรอยู่ เราก็จะสามารถซัพพอร์ต
ในสิ่งที่นักเรียนต้องการได้อย่างตรงใจอย่างที่เขาเป็น
สำหรับห้องเรียนในระดับชั้นเด็กประถม อีกโอกาสนึง
ที่เราสามารถแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนได้ คือ
ช่วงเวลาที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับ
ความท้าทายใหม่ ๆ หรืออยู่ในสถานการณ์ที่
พวกเขาไม่เคยเจอมาก่อน เช่น การสร้างเพื่อนใหม่
หรือการลองเล่นเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่น
เราสามารถเข้าไปตรงนั้นเพื่อถามว่า
“อยากให้เราช่วยอะไรมั้ย ?” เพื่อให้นักเรียนรู้สึกว่า
เรายังคอยซัพพอร์ตพวกเขาอยู่ในทุกช่วงเวลานะ
👍A - Affirm “การแสดงความเห็นพ้อง” คือการ
ส่งเสริมความสามารถ และทักษะในตัวของ
นักเรียนเอง ผ่านการรับรู้ และยืนยันถึงศักยภาพที่
พวกเขาได้เฉิดฉายออกมา
เราในฐานะของครูสามารถเริ่มต้นได้ง่าย ๆ จากการ
จดจำสิ่งที่นักเรียนทำได้ดี ในด้านของอุปนิสัย
และความสามารถ แล้วจึงนำไปชมเชย
หรือแสดงให้เห็น ต่อหน้าเพื่อน ๆ ของเขา
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ยังรวมถึงความสามารถหรือ
ลักษณะนิสัยเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน
ที่เราอาจเผลอมองข้ามไปโดยง่าย เช่น
การมีน้ำใจกับเพื่อน การผูกเชือกรองเท้าเองได้
หรือความพยายามในการทำงานได้อีกด้วยนอกจากนี้
ในกรณีที่ทำไม่สำเร็จ คุณครูอย่างเราก็สามารถเลือก
นำส่วนดีมาใช้ได้อีกด้วย ไม่จำเป็นต้องชื่นชม
เฉพาะคนที่ทำสำเร็จเท่านั้น
ลองเปรียบเทียบกับการวาดรูป คนที่ทำงานได้
สวยงามเหมือนจริงที่สุดก็มักจะเป็นคนที่ผู้ใหญ่ชื่นชม
แต่จริง ๆ แล้วอาจมีคนอีกมากที่ ถึงวาดไม่เหมือนจริง
แต่เลือกใช้เทคนิคได้น่าสนใจ ปะติดรูปจากหน้า
นิตยสารมาอย่างสร้างสรรค์, มีคนที่ใช้กล้ามเนื้อได้ดี
ทำให้ระบายสีโดยไม่ออกจากกรอบเลย หรือ
คนที่เลือกใช้คู่สีได้น่าสนใจ เพียงคุณครูพยายาม
มองข้อดี ตามความเป็นจริง เซนส์ความรู้สึกเห็นพ้อง
ตรงนี้ก็จะเกิดขึ้นได้โดยธรรมชาติ
🪥F - Familiarise “การทำให้รู้สึกคุ้นเคยกัน”
ให้นักเรียนได้รู้สึกว่าเราก็ไม่ได้ต่างจากเขา
เราก็เป็นมนุษย์คนนึง ที่มีความรู้สึก มีจิตใจ
เข้าถึงและเข้าใจกันได้ง่าย
การที่ทำให้รู้สึกคุ้นเคยกันแบบนี้ ส่งผลดีคือ
นักเรียนจะไว้ใจ เชื่อใจเรา เมื่อพูดหรือตักเตือน
อะไรไปก็จะเกิดความรู้สึกที่อยากทำตาม
มากกว่าเมินไปเสียเฉย ๆ
หากอยากให้นักเรียนเกิดเซนส์ความรู้สึกนี้
คุณครูสามารถทำได้ผ่านการสังเกตแง่มุมต่าง ๆ
ในการใช้ชีวิตของนักเรียน หรือชวนไปทดลอง
ทำกิจกรรมใหม่ ๆ ให้เกิดประสบการณ์ร่วมกันขึ้น
เพื่อเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เช่น หากห้องเรียนของเรา
ไม่เคยมีการทำกิจกรรมผ่านการเล่นบอร์ดเกม
เราอาจลองชวนมาเล่นกันดูสักครั้ง
โดยเราลงไปเล่นกิจกรรมนี้ด้วย เป็นต้น
หรือหากเป็นเด็กเล็ก เราอาจลองจูงมือ
ชวนไปดูที่ต่าง ๆ ในรั้วโรงเรียน หรือหยิบสิ่งต่าง ๆ
ที่นักเรียนยังทำไม่เก่ง มาลองฝึกไปด้วยกันก็ได้นะ
เช่น การกวาดพื้น ถูพื้น หรือการแปรงฟันหลังมื้อเที่ยง
เพื่อสร้างความคุ้นเคยระหว่างกันตรงนี้ขึ้นมา
💗E-Empathise “การเอาใจใส่” รับรู้อารมณ์
ที่แตกต่างกัน และชวนให้ได้จัดการอารมณ์ความรู้สึก
ทั้งตัวเอง และคนรอบตัวเท่าที่เป็นไปได้ อย่าง
กุศโลบาย “สิ่งใดไม่ปรารถนา สิ่งนั้นอย่าทำกับคนอื่น”
ของครูเปี๊ยกนั่นเอง
เมื่อได้เรียนรู้ความรู้สึกของกันและกัน จะช่วยให้เกิด
การตระหนักในพฤติกรรมของตัวเองก่อนที่จะเริ่ม
ทำพฤติกรรมไม่พึงประสงค์เหล่านั้นได้
โดยคุณครูเริ่มได้จากการชวนนักเรียนมาทบทวน
อารมณ์ของตัวเองตลอดวัน ทั้งก่อนและหลังเลิกเรียน
เพื่อให้เห็นแนวโน้มของการเกิดอารมณ์ต่าง ๆ
ของตัวเอง ว่ามีแนวโน้มเป็นยังไง มักเกิดจาก
สาเหตุอะไร และสามารถควบคุมได้ในที่สุด
สำหรับห้องเรียนชั้นประถม คุณครูสามารถเริ่มต้นได้
จากการสอนให้ได้รู้จักคำศัพท์ต่าง ๆ ในการอธิบาย
ความรู้สึกของตัวเอง และค่อย ๆ เข้าใจ
ความต้องการต่าง ๆ ของนักเรียนไปพร้อม ๆ กัน
🫶🏻เมื่อได้ทดลองใช้เทคนิคทั้ง 4 ภายในเครื่องมือ
S.A.F.E. แล้วละก็ แวดล้อมในห้องเรียนของคุณครู
จะค่อย ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
นักเรียนจะค่อย ๆ รู้สึกว่าเป็นส่วนนึงในห้องเรียน
ของเรา รวมถึงรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของตัวเอง
และคนรอบ ๆ ตัวของเขา ส่งผลให้สามารถจัดการ
พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ได้ด้วยตัวของเขาเอง
โดยไม่ต้องมาเหนื่อยเราอีก
คุณครูสามารถทดลองนำเทคนิคนี้
ไปใช้ในห้องเรียนได้ ส่งผลทำให้ครูไม่ต้องปรี๊ด
เกิดเป็นสุขภาพจิตที่ดีกันทั้งนักเรียนและคุณครู
โดยเครื่องมือ S.A.F.E. เป็นเพียงส่วนหนึ่งของคู่มือ
การพัฒนาทักษะทางด้านการจัดการอารมณ์ของเด็ก
หากคุณครูสนใจสามารถลองใช้เครื่องมือ S.A.F.E
ของ Child Impact นี้ กดเข้าไปได้เลยที่ https://bit.ly/ChildImpactSAFE
insKru และ Child Impact ขอเป็นกำลังใจ
ให้คุณครูทุกคนสามารถจัดการรับมือพฤติกรรมสุดจี๊ด
จากนักเรียนอย่างสร้างสรรค์และแก้ไขปัญหาได้สำเร็จน้า
แท็กที่เกี่ยวข้อง