บางครั้งความคิดที่ฝังอยู่ในหัวไปแล้วนั้นก็ยากที่จะแก้ไข เราอาจรู้สึกว่าการทำแบบนี้นั้น "ไม่แมนเลย" หรือลักษณะท่าทางแบบนี้ "เป็นเกย์" แน่ ๆ เราเชื่อว่าคุณครูที่กดเข้ามาดูไอเดียนี้ ต้องเคยเจอสถานการณ์ที่เด็กนักเรียนในโรงเรียนกระทบถึงเพศหลากหลาย ผ่านคำพูด สีหน้า ท่าทาง อยู่ไม่มากก็น้อยแน่ ๆ การจะมาสอนให้เข้าใจ และเคารพซึ่งกันและกันก็เป็นเรื่องยากที่จะคล้อยตาม ด้วยท่าทีการสื่อสารเรื่องนี้ที่จริงจัง ทำให้เด็ก ๆ ไม่เก็ตประเด็นนี้สักทีทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้สำคัญมากนะ !
แต่อย่าเพิ่งสิ้นหวังไป จริง ๆ แล้ว ยังมีวิธีสื่อสารให้เด็ก ๆ เข้าใจเรื่องนี้ ด้วยบรรยากาศสบาย ๆ พูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้อยู่นะ
เมื่อวันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม เราได้ไปเข้าร่วม Workshop "มอง (แต่) ไม่เห็น" และ "Mixer School ผสมวิทยาคาร ผสานวิทยาคม" ซึ่งจัดโดยคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ (LSEd) ในกิจกรรมงาน Bangkok Pride Forum และประทับใจในวิธีการสื่อสารที่ทำให้ครูอย่างเราสามารถสื่อสารเรื่องความหลากหลายทางเพศได้อย่างง่าย ไม่ได้พูดถึงเรื่อง "อคติทางเพศ" หรือการ "เหมารวม" ตรง ๆ แต่เลือกเปรียบเทียบกับสิ่งรอบตัวของเด็ก ๆ ให้เข้าใจง่าย ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่เราตั้งใจเขียนเพื่อแบ่งปันกันในบทความนี้ฮะ
เป็น Workshop ที่พูดถึงเรื่องของอคติโดยกว้าง ยังไม่มุ่งเน้นที่อคติทางเพศ เพื่ออธิบายถึงการจัดการการมองเห็น กับอคติส่วนตัวของตนเอง ซึ่งทำให้บางครั้งเรามองเห็นแต่ไม่เข้าใจ หรือเห็นแต่มองผ่านข้ามไปเฉย ๆ ใน Workshop นี้มี Session ย่อย ๆ ดังนี้
Check - in: ให้มองภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวที่ถูกจัดกลุ่มขึ้นตามสี แล้วให้ตอบแบบปิ๊งแว้บว่ารู้สึกยังไง
สีแดง มีคนแชร์ว่า ”ดุดัน มีพลัง“ ในขณะที่อีกคนบอกว่า ”น่ากลัว“ / สีฟ้า - ภาพเคลื่อนไหวเป็นรูปฝน มีคนแชร์ว่า “ชุ่มฉ่ำ” บางคนกลับแชร์ว่า “หงุดหงิด” เพราะประสบการณ์เดิมของเขา “บ้านเกิดอยู่ที่ระนอง ตอนฝนตกเขารู้สึกว่าสบาย ๆ ชงโอวันตินกิน นอนเล่นชิลล์ ๆ ไม่ต้องทำอะไร แต่พอเข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ ฝนเดียวกันที่เขาเจอ กลับทำให้เขารู้สึกว่ามันช่างน่าหงุดหงิด ออกไปไหนก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้” / สีเขียว - บางคนรู้สึก “สงบ ร่มเย็น เป็นธรรมชาติ” ในขณะที่บางคนรู้สึกว่า “น่ากลัว ดูเป็นพิษ”
กิจกรรมนี้ทำให้เห็นว่าของสิ่งเดียวกันที่เป็นภาพ ทุกคนมองเห็นเหมือนกันแต่กลับมีการตีความอย่างหลากหลาย บางครั้งก็มีความรู้สึกที่เป็นขั้วตรงข้ามกัน (positive - negative) บ้างก็ใช้ ”ประสบการณ์เก่าส่วนตัว“ ในการอธิบาย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นธรรมชาติของการรับรู้ด้วยภาพ
Session 1 : จับกลุ่ม จัดหมวดหมู่ของ
บนโต๊ะ 6 ตัวบนเวที มีของวางไว้หลายอย่างมากตั้งแต่ โซ่ แส้ ชุดปกาเกอะญอ ผ้าขาวม้า เสื้อกั๊ก เสื้อปาเต๊ะ พระ วัด โบสถ์คริสต์ เนคไท ให้แต่ละกลุ่มหยิบของคนละชิ้น พร้อมบอกหมวดหมู่ของกลุ่มตัวเอง
ตัวอย่างเช่น กลุ่มนึงเอาเสื้อปาเต๊ะ เสื้อปกาเกอะญอ จับกลุ่มกันเป็นเสื้อผ้าชาวถิ่น / อีกกลุ่มจับชุดนักเรียน ปากกา เป็นกลุ่มของใช้ที่นักเรียนต้องใช้ที่โรงเรียน
พอจับกลุ่มเสร็จ ผู้ดำเนินกิจกรรมได้ตั้งคำถามว่า จริง ๆ ของในแต่ละกลุ่มมันสามารถสลับสับเปลี่ยนกันได้มั้ย แล้วทีนี้อะไรคือสิ่งที่บอกว่าของชิ้นไหน ควรอยู่ในหมวดหมู่อะไรกันแน่ ? อันทำให้เห็นว่าการรีบจัดหมวดหมู่อย่างรวดเร็วเหมือนในกิจกรรมนี้ก็สามารถทำให้เกิดอคติได้นั่นเอง
Session 2 : จับฉลากสวม character
บนเวที ผู้ดำเนินกิจกรรมจะค่อย ๆ ฉายภาพสถานที่ต่าง ๆ ในสไลด์ เช่น ห้างสรรพสินค้า ขนส่งหมอชิต สนามหลวง สลัม โชว์รูมรถเบนซ์ พร้อมให้จับฉลากรับ character ไปจำลองบทบาทเดินขึ้นมาบนเวที หากคิดว่า character ของเราอยู่ในบริบทเหล่านั้นได้
เช่น เราได้ “คนต่างจังหวัดที่เข้ากรุงเทพ” พอสถานการณ์เป็นขนส่ง เราก็ออกไปยืน ทำท่าแบกกระเป๋า คุยโทรศัพท์ เพราะคิดว่าคนต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพครั้งแรก เลยโทรหาพี่น้อง โทรหาญาติที่อยู่มารับ / สถานการณ์เป็นโรงเรียน เราก็ออกไป เพราะเห็นภาพว่าคนต่างจังหวัดคนนี้ อาจจะเข้ามาในกรุงเทพ เพราะโรงเรียนมันดีกว่า มันสอบเข้ามหาวิทยาลัยต่อได้ง่ายกว่า เลยยอมลงทุนมาจากต่างจังหวัด
ซึ่งทำให้รู้สึกว่าการทำกิจกรรมที่เน้นการแสดงแบบนี้ ช่วยให้สะท้อนความคิดของตัวเองเยอะมาก ๆ โดยเฉพาะความคิดซึ่งอาจเป็นอคติที่เราไม่เคยคิดมาก่อน เช่น คนต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพเข้าอาจไม่ได้มาครั้งแรกก็ได้ เขาอาจรู้ทางเป็นอย่างดีแล้วก็ได้
Session 3 : สร้าง scene โดยมิได้นัดหมาย
ต่อจากกิจกรรมที่แล้ว ให้หนึ่งคนในทีมหยิบอุปกรณ์ไปแต่งตัว พร้อมแสดงบทบาทที่คิดเองบนเวที โดยห้ามสื่อสารกับใคร แล้วให้เพื่อนในทีมแสดงตามสถานการณ์ที่เห็นตรงนั้น (และคิดว่าน่าจะใช่)
ตัวอย่างกลุ่มนึง แต่งตัวผ้าสไบห่มเฉียง ๆ ทำท่าใส่บาตร เพื่อนในกลุ่มก็มาเป็นพระ มาเป็นศิษย์วัด แต่มีคนนึงนอนราบไปกับพื้น ซึ่งใคร ๆ ก็ตีความไม่ออกว่าจริง ๆ แล้วเขาแสดงเป็นอะไร เลยเกิดการเดาต่าง ๆ มากมาย "คนนี้น่าจะเป็นทางเดิน" "คนนี้เป็นพระนอน"
สุดท้ายแล้วผู้ดำเนินกิจกรรมนี้ก็ไม่เฉลย เพราะสุดท้ายแล้วเวลาเห็นภาพ เราไม่รู้ว่าเขาแสดงเป็นอะไร เราได้แค่ตีความในสิ่งที่เขาแสดงออกมา ซึ่งยิ่งสะท้อนเรื่องของอคติที่เกิดจากการเห็นและเหมารวมไปก่อน ซึ่งการ romanticize ก็นับเป็นอคติทางบวก (แต่อย่างไรก็ตามยังเป็นอคติอยู่) เช่น คนห่มสไบน่าจะเป็นคนเหนือ คนเหนือชอบใส่บาตร -> ผู้ดำเนินกิจกรรมบอกว่าตัวเองเป็นคนเหนือ แต่ไม่ได้ใส่บาตรบ่อยนะ ทำให้เรารู้สึกว่าอคติทางบวกก็ทำให้เราสร้างความคาดหวังเกินความเป็นจริงได้เหมือนกัน
ขั้นสรุป:
ผู้ดำเนินกิจกรรมเลือกที่จะให้ทุกคนสะท้อนถึงอคติในนัยกว้างก่อน ไม่ได้พุ่งไปที่เรื่อง “อคติทางเพศ” เพียงอย่างเดียว ทำให้ได้มีการแชร์กันว่าตัวเองเคยโดนอคติในชีวิตยังไงบ้าง ทั้งความสวย ความอ้วน ความดำ ก่อนขมวดเข้าสู่เรื่องอคติทางเพศอีกทีนึง ซึ่งทั้งวงได้เห็นร่วมกันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในกิจกรรมช่วงแรกนี้สะท้อนถึงสภาวะในสังคมอย่างชัดเจน
ชวนตระหนักถึงความหลากหลายทางเพศ โดยการจำลองสถานการณ์ให้เห็นเป็นรูปธรรมผ่านความชอบในเครื่องดื่มของตัวเอง
Session 1 : “โฉมตรู” “ชาตรี” และ “วิจิตรพิสดาร”
ในสถานการณ์จำลองก่อนเข้ามาทำกิจกรรมนี้ใน "ผับ" ผู้ดำเนินกิจกรรมจะขอตรวจบัตร เช็คเพศกำเนิดของผู้เข้าร่วมเพื่อแจกเครื่องดื่ม โฉมตรู หรือชาตรีให้ พร้อมให้คุยกันในวงตัวเองว่าชอบเครื่องดื่มไหนมากกว่ากัน แต่ไม่ได้ให้แลกกันชิม เราสามารถทำได้แค่ฟังอีกคนบอกว่ารสชาติเป็นยังไงเท่านั้น
จากนั้นให้เปิดช่วงสะท้อนว่ารู้สึกยังไง มีจำนวนนึงที่บอกว่าไม่ได้ชอบเครื่องดื่มของตัวเอง หวานไป ฟังดูแล้ว "โฉมตรู" น่าจะดีกว่า บางคนก็บอกว่าตอนแรกอยากได้ "โฉมตรู" เพราะมีรสลิ้นจี่ตนเองชอบ แต่การ์ดหน้าร้านไม่ให้ ให้ "ชาตรี" มาแทน
ผู้ดำเนินกิจกรรมจึงบอกว่าต้องเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้ามากขึ้น ไม่อย่างนั้นโดนร้านเจ๊งแน่ เลยให้เครื่องดื่มอีกแบบนึงมาชื่อว่า “วิจิตรพิสดาร” คนก็ออกมาเลือกจำนวนนึง พร้อมสะท้อนว่าชื่อประหลาด น่าตกใจ สุดท้ายแล้วหลายคนก็บอกไม่ชอบเครื่องดื่มอันเดิม พวกเขาก็ได้เลือกนะ แต่เป็นการเลือกแกมบังคับให้หยิบ "วิจิตรพิสดาร" เท่านั้น
Session 2 : drink ดั่งใจ
ผู้ดำเนินกิจกรรมบอกว่าถึงมีตัวเลือกให้ แต่ลูกค้าก็ยังไม่พอใจ ถ้าอย่างนั้นให้ผสมเครื่องดื่มของตัวเองได้เลย ทางร้านมีทั้งน้ำเชื่อม น้ำ โซดา สีผสม น้ำแข็งให้ เลือกได้ทั้งความเปรี้ยว หวาน ขม ซ่า พร้อมให้ตั้งชื่อเครื่องดื่ม และความหมายของตัวเองสักเล็กน้อย
เมื่อทุกคนผสมเครื่องดื่มตัวเองเสร็จแล้ว ก็ให้ใช้เวลาในการพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนอื่น ๆ เล็กน้อย แล้วสะท้อนมาในวงใหญ่ บางคนทักถึงเรื่องชื่อเครื่องดื่ม ว่ามีการตั้งความหมายดี / บางคนบอกว่าสนใจว่าทำไมผสมแบบนี้ได้สีออกตุ่น ๆ แต่พอไปคุยเขาก็บอกกินได้ เขามีความสุข คนที่มาแชร์เลยบอกว่า "หากเขามีความสุข เราก็ไม่ต้องยุ่งความสบายใจของเขา" / มีคนนึงสะท้อนมาว่า พอเราเลือกผสมแล้วถูกใจหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่เราก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองเลือกด้วยนะ / และมีคนที่บอกว่าเห็นแววตาตอนเล่าถึงเครื่องดื่มตัวเอง มีความเป็นประกายมากกว่าเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่ร้านมอบให้
Session 3 : สะท้อนเรื่องราวทั้งหมดในวันนี้ ไปยังห้องเรียนของตัวเอง
มีอาจารย์ท่านนึงแชร์ว่า เขาเป็นบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศที่อยากแต่งตัวแบบผู้หญิง แต่มหาวิทยาลัยไม่ยอม วิธีที่อาจารย์เลือกใช้คือทำผลงาน ๆ จนมหาวิทยาลัยเห็นคุณค่าของเขา เขาจึงแต่งตัวแบบที่เขาต้องการได้ แต่เขาไม่เลือกถ่ายทอดสิ่งนี้ต่อไปที่ลูกศิษย์ เขาเปิดพื้นที่ในห้องเรียนตัวเองให้นักศึกษาทุกคนได้เป็นตัวเอง แต่งตัวได้เต็มที่ แค่ให้ดูความเหมาะสมในพื้นที่ห้องเรียนอื่น ๆ ต่อไป
มีอาจารย์อีกท่านนึง พูดถึงที่โรงเรียนของเธอเปิดกว้างให้นักเรียนแต่งตัวอะไรก็ได้ โดยตกลงกรอบว่าเหมาะสมมั้ย กำลังล้อเลียน ทำเป็นเรื่องสนุกหรือเปล่า โดยให้นักเรียนมาร่วมตกลงในธรรมนูญของโรงเรียนทุกปีการศึกษา ซึ่งในโรงเรียนก็ไม่มีปัญหาอะไร มีนักเรียนชายที่อยากใส่กระโปรง ก็ใส่มาเรียนได้โดยปกติ โรงเรียนสามารถดำเนินไปได้เรียบร้อยดี โดยอาจารย์เน้นย้ำว่าพื้นที่ในโรงเรียนควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย และเป็นพื้นที่ที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้ตัวเอง ได้ลองผิดลองถูกก่อนเข้าสู่สังคมจริง ๆ ต่อไป
และมีอาจารย์อีกท่านแชร์เรื่องการแต่งตัวและห้องน้ำที่แยกตามเพศ ในพื้นที่สาธารณะ เพื่อให้เห็นความสำคัญของห้องน้ำ all-gender บางครั้งการเข้าห้องน้ำด้วยการแต่งตัวเพศหญิง ก็ทำให้ผู้ชายที่เข้าห้องน้ำอยู่รู้สึกไม่สบายใจ แต่ว่าบางคนที่แต่งตัวเป็นหญิงก็ยังไม่มั่นใจที่จะเข้าห้องน้ำหญิงเหมือนกัน เป็นความกระอักกระอ่วนใจที่เกิดขึ้น ซึ่งการมีห้องน้ำ all-gender เป็นทางเลือก จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สาธารณะทั่วไปอย่างห้าง หรือในโรงเรียนก็ตาม
สุดท้ายนี้ ทุกกิจกรรมที่เขียนมานี้ เบื้องต้นเรามองว่า หากเราพูดถึง "ความหลากหลายทางเพศ" หรือ "อคติในการเหมารวม" แบบตรง ๆ เด็กนักเรียนอาจปิดกั้น ไม่สนใจได้ (ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้สำคัญ และควรได้รับการปลูกฝังตั้งแต่เนิ่น ๆ) การลองให้นักเรียนทำการแสดงเพื่อให้เข้าใจอคติของตัวเอง หรือเปรียบเทียบความชอบทางเพศ กับน้ำหวานที่มีทั้งความหลากหลายในรสชาติ หรือสีสัน ก็ช่วยให้นักเรียนมีกำแพงน้อยลง และช่วยให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายขึ้นอีกด้วย เป็นกำลังใจให้คุณครูทุกคนลองทำดูน้าาา
credit กิจกรรม : คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ (LSEd) / Bangkok Pride
แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru
เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย
ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!