inskru

แนวทางดูแลสุขภาพใจนักเรียน ฉบับคุณครูผู้ใส่ใจ

4
0
ภาพประกอบไอเดีย แนวทางดูแลสุขภาพใจนักเรียน ฉบับคุณครูผู้ใส่ใจ

เราเชื่อว่าเรื่อง ‘สุขภาพใจของนักเรียน’ เป็นสิ่งที่ครูหลายคนกังวลและใส่ใจ

ทำไมนักเรียนดูเงียบ ๆ ไม่ร่าเริงเหมือนเคย?

ทำไมนักเรียน โกรธง่ายฉุนเฉียว ควบคุมอารมณ์ไม่ได้?

นักเรียนคนนี้ จากเคยเรียนได้ดี ตอนนี้ทำไมการเรียนตกต่ำ แถมไม่สนใจการเรียน?

นักเรียนมีพฤติกรรมหรืออาการแบบนี้ นักเรียนยังโอเคอยู่รึเปล่านะ? และในฐานะครูจะช่วยเหลือได้ยังไง? เราคิดว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ครูหลายคนตั้งคำถาม

การรู้เท่าทันปัญหาสุขภาพจิตหรือปัญหาการเรียนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการทำการรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคทางจิตเวชที่มีความรุนแรงและเรื้อรังได้ นอกไปจากนี้ยังทำให้คุณครูสามารถทำความเข้าใจนักเรียนแล้วนำไปสู่การออกแบบกิจกรรมหรือการสอนที่เหมาะสมต่อตัวเด็กต่อไปได้อีกด้วย

สำหรับคุณครูที่อยากช่วยเหลือนักเรียนที่กำลังเผชิญปัญหา แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี? วันนี้เรามีทั้งข้อสังเกต เครื่องมือ และตัวช่วยดูแลสุขภาพใจเด็กมาแนะนำกัน!

ก่อนอื่นเราอยากชวนไปเริ่มต้นที่การสังเกตสัญญาณ จะรู้ได้ยังไงว่าสุขภาพใจนักเรียนมีปัญหา

ชวนสังเกตพฤติกรรมเหล่านี้กัน!

ในการสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนว่ามีปัญหาสุขภาพจิตหรือไม่ สามารถแบ่งการสังเกตออกเป็น 2 กรณี ดังนี้

  1. พฤติกรรมและการแสดงออกที่บ่งบอกว่า ‘เสี่ยงต่อการมีปัญหาสุขภาพจิต’ ดูได้จากสัญญาณต่อไปนี้
  • ดูจากการแต่งกาย เช่น แต่งกายผิดระเบียบ สกปรก มอมแมม ขาดการเอาใจใส่ดูแลตัวเอง
  • ดูจากลักษณะท่าทาง พบว่ามีความก้าวร้าว ไม่มีสัมมาคาระวะ ไม่สุภาพ ไม่ทำตามคำสั่ง ดื้อดึง หรือตรงกันข้ามคือเหม่อลอย เก็บตัว เชื่องซึม
  • ดูจากการพูด คือ พูดก้าวร้าวไม่สุภาพ ไม่เหมาะสม โต้เถียง เสียงดัง เอะอะโวยวาย หรือตรงกันข้ามคือ พูดน้อย ไม่อยากพูด เงียบซึม
  • ดูจากพฤติกรรมการเรียน การเรียนตกต่ำ ไม่สนใจการเรียน หนีเรียน มาโรงเรียนสายประจำ
  • ดูจากพฤติกรรมทางเพศ คือมีการมั่วสุมทางเพศ กับเพื่อนชายหญิง
  • ดูจากความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เช่น มีปัญหากับครอบครัว หรือเพื่อนน้อย
  • ดูจากการแสดงออกด้านอารมณ์และความคิด คือมีอารมณ์รุนแรง โกรง่ายฉุนเฉียว ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ วิตกกังวล เครียด ย้ำคิดย้ำทำ ซึมเศร้าอ่อนไหวง่าย น้อยอกน้อยใจไม่มีเหตุผล
  • ดูจากพฤติกรรมอื่น ๆ เช่น มีการพกอาวุธ หรือใช้สารเสพติด
  1. พฤติกรรมที่แสดงออกในนักเรียนที่ ‘มีปัญหาสุขภาพจิต’ ระดับที่ต้องได้รับการช่วยเหลือแก้ไข ซึ่งสังเกตได้จากพฤติกรรมเหล่านี้
  • แสดงพฤติกรรม อารมณ์ และความคิดที่ไม่เหมาะสมกับวัย
  • พฤติกรรมมีความรุนแรงและถี่ขึ้น
  • พฤติกรรม อารมณ์ และความคิดส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน
  • มีปัญหาในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น
  • คุณภาพชีวิตแย่ลง ทั้งเรื่องครอบครัว การเรียน และกิจกรรมทางสังคม

นอกจากการสังเกตจากพฤติกรรม การพูดคุยถามไถ่ด้วยคำถามเปิด เช่น "ช่วงนี้รู้สึกยังไงบ้าง?" "มีเรื่องอะไรไม่สบายใจไหม?" ก็เป็นวิธีการที่ควรทำควบคู่กันไป และถ้ามากกว่าการสังเกตและถามไถ่คุณครูจะมีวิธีเช็กสุขภาพใจของเด็ก ๆ ยังไงได้อีก

แนะนำเครื่องมือประเมินสุขภาพจิตแบบง่าย ๆ ที่จะช่วยคัดกรองปัญหาสุขภาพจิตเด็กเบื้องต้นได้

คุณครูและผู้ปกครองยังสามารถช่วยเหลือในการประเมินเบื้องต้นได้ด้วยการใช้เครื่องมือแบบสอบถามที่เป็นมาตรฐาน ในบทความนี้เราจะพาคุณครูไปรู้จักกับ “แบบประเมินจุดแข็งและจุดอ่อน Strengths and Difficulties Questionaire (SDQ)” (4-16 ปี)

SDQ เป็นแบบสอบถามที่มี 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ครูเป็นผู้ประเมิน ฉบับที่ผู้ปกครองเป็นผู้ประเมิน และฉบับที่นักเรียนเป็นผู้ประเมินตนเอง (นักเรียนจะต้องมีอายุ 11-16 ปีเท่านั้นจึงจะทำการประเมินตนเองได้) สำหรับประเมินปัญหาสุขภาพใจในภาพรวม ซึ่งอาจใช้การประเมินหลายฉบับร่วมกันหรือเพียงฉบับใดฉบับหนึ่งก็ได้ แต่หากใช้มากกว่าหนึ่งฉบับ ควรที่จะประเมินในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน และผู้ที่ประเมินเด็กจะต้องมีความใกล้ชิดกับเด็กมาระยะหนึ่ง

🔗แบบประเมิน SDQ: https://mhc5.dmh.go.th/km/pdf/school/6.pdf

มาถึงตรงนี้ เราขอเล่าถึงวิธีการประเมินฉบับเข้าใจง่าย คุณครูที่ไม่คุ้นเคยกับแบบประเมินทางจิตวิทยา อย่าเพิ่งตกใจกลัว ขอให้ค่อย ๆ ทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กัน

ภายในแบบประเมินนี้หน้าที่ 1 จะประกอบไปด้วยข้อคำถาม 25 ข้อ แบ่งเป็น 5 ด้านด้วยกัน คือ กลุ่มพฤติกรรมเกเร กลุ่มพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่ง กลุ่มปัญหาทางอารมณ์ กลุ่มปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อน ซึ่ง 4 ด้านแรกนี้จะแสดงถึงด้านที่เป็นปัญหา ส่วนด้านที่ 5 กลุ่มพฤติกรรมด้านสัมพันธภาพทางสังคม จะแสดงถึงจุดแข็งของเด็ก

และในหน้าที่ 2 ของแบบประเมินจะข้อคำถามเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นหรือระดับความรุนแรงของปัญหา

นอกไปจากนี้ ยังมีเครื่องมือคัดกรองอื่น ๆ ที่นักเรียนสามารถประเมินด้วยตนเองได้ เช่น แบบวัดภาวะซึมเศร้า Center for Epidemiological Studies-Depression Scale (CES-D) สำหรับช่วงอายุ 15-18 ปี แบบประเมินภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่น The Patient Health Questionnaire for Adolescents (PHQ-A) สำหรับช่วงอายุ 11-20 ปี และแบบประเมินความเข้มแข็งทางใจ Resilience Scales สำหรับช่วงอายุ 10-12 และ 13-18 ปี

ซึ่งไม่เพียงแต่คุณครูสามารถแนะนำเครื่องมือเหล่านี้ให้นักเรียนลองประเมินตัวเอง แต่หากคุณครูพบความเสี่ยงและต้องการที่จะพูดคุยกับนักเรียนรายบุคคล คุณครูยังสามารถนำข้อคำถามในเครื่องมือเหล่านี้มาเป็นแนวทางในการพูดคุยได้อีกด้วย เช่น การถามอาการ สภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ให้ขยายความถึงความคิด ความรู้สึกที่มี สาเหตุที่มาและผลกระทบ รวมไปถึงระดับความรุนแรงและความถี่ของปัญหา เป็นต้น เพื่อรับฟัง ทำความเข้าใจ และหาทางช่วยเหลือเด็กต่อไป

อย่างไรก็ตามในการประเมิน คัดกรอง หรือพูดคุยกับเด็ก ๆ มีสิ่งสำคัญที่คุณครูจะต้องคำนึงไว้ด้วยนั่นก็คือ

  • ผลที่ได้จากการประเมินเป็นเพียงความเสี่ยงที่นกัเรียนอาจมีปัญหาในด้านที่ประเมินเท่านั้น แต่ไม่ใช่การวินิจฉัยโรค และอาจมีผลลวงบวกลวงหรือผลลบลวงได้ ดั้งนั้นในการประเมินเพิ่มเติมจึงควรส่งต่อให้ผู้เขี่ยวชาญ
  • ไม่นำผลที่ได้มาตัดสิน หรืออคติกับตัวนักเรียน
  • เก็บผลการคัดกรองหรือแบบสอบถามเป็นความลับ ห้ามวางหรือเผยแพร่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องทราบ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการที่เด็กถูกแบ่งแยก
  • ควรได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อนการประเมินเด็ก (โดยเฉพาะในเด็กเล็ก) และอาจประสานความร่วมมือกับผู้ปกครองตามแต่กรณีแต่ไม่สร้างความตื่นตระหนกหรือความวิตกกังวล
  • เมื่อพูดคุยทำความเข้าใจปัญหากับนักเรียน ควรที่จะสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยด้วยการเปิดใจรับฟัง ไม่ด่วนตัดสิน และเปิดโอกาสให้นักเรียนได้พูดความรู้สึกจริง ๆ

หากตอนนี้ รู้สึกว่านักเรียนของตัวเองต้องการ ‘ความช่วยเหลือทางใจ’ คำถามต่อไปที่คุณครูอาจจะมีขึ้นมาคือ “แล้วเราช่วยเหลือนักเรียนได้ยังไงบ้าง” “จะคุยกับนักเรียนกลุ่มนี้ยังไง” หรือ “มีวิธีการอะไรที่ต้องช่วยเด็ก ๆ ได้บ้าง”

เราเข้าใจว่าการดูแลใจนักเรียนไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งภาระหน้าที่อันล้นหลาม ความไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจว่าจะใช้เข้าไปคุยกับเด็กยังไง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับคุณครูหลายคน สิ่งหนึ่งที่เป็นทางเลือก คือ การแนะนำ “ส่งต่อให้กับผู้เชี่ยวชาญ”

"กำแพงพักใจ ที่พักใจให้เยาวชน" หนึ่งในช่องทางการส่งต่อที่สะดวกและไม่มีค่าใช้จ่าย ช่วยให้นักเรียนได้คุยกับนักจิตวิทยา จิตแพทย์ และทีมงานผู้ดูแลใจ (Mental Health Support) ที่มีความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพใจ

โครงการนี้ เป็นโครงการนำร่องเพื่อให้เยาวชนในกรุงเทพฯ ได้เข้าถึงบริการสุขภาพจิตคุณภาพสูงผ่านช่องทางออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชัน ooca โดยผู้ที่เข้ารับบริการนี้ได้คือ เยาวชนและวัยรุ่นอายุ 15 - 25 ปี ที่มีทะเบียนบ้านอยู่ใน กทม. สามารถลงทะเบียนและใช้บริการได้บนแอปพลิเคชัน ooca ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึง 31 สิงหาคม 2567

ส่วนคุณครูคนไหนที่ดูแลนักเรียนในจังหวัดอื่น ก็ยังสามารถแนะนำให้นักเรียนมารับคำปรึกษากับจิตแพทย์และนักจิตวิทยาได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกัน โดยลงทะเบียนผ่านช่องทางนี้ https://shorturl.asia/2CR7Y

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ "กำแพงพักใจ ที่พักใจให้เยาวชน" ได้ที่ Facebook ของ Wall of Sharing ได้เลย!


แหล่งข้อมูลอ้างอิง :

https://dmh.go.th/download/ebooks/MEH5.pdf

https://dmh-elibrary.org/items/show/312

สุขภาพจิต

ไอเดียนี้เป็นไงบ้าง?

4
ได้แรงบันดาลใจ
0
ลงไอเดียอีกน้า~
avatar-frame
แบ่งปันโดย
insinsKru
insKru Official Account เราจะคอยผลักดันและเชิญชวนคุณครูมาร่วมสร้างสรรค์ไอเดียการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการศึกษาไทยต่อไป

อยากร่วมแลกเปลี่ยน?

please login

แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru

เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย

icon-please-commentมาเป็นคนแรกที่แลกเปลี่ยนสิ!
credit idea

ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!

ไอเดียน่าอ่านต่อ