เราเชื่อว่าเรื่อง ‘สุขภาพใจของนักเรียน’ เป็นสิ่งที่ครูหลายคนกังวลและใส่ใจ
ทำไมนักเรียนดูเงียบ ๆ ไม่ร่าเริงเหมือนเคย?
ทำไมนักเรียน โกรธง่ายฉุนเฉียว ควบคุมอารมณ์ไม่ได้?
นักเรียนคนนี้ จากเคยเรียนได้ดี ตอนนี้ทำไมการเรียนตกต่ำ แถมไม่สนใจการเรียน?
นักเรียนมีพฤติกรรมหรืออาการแบบนี้ นักเรียนยังโอเคอยู่รึเปล่านะ? และในฐานะครูจะช่วยเหลือได้ยังไง? เราคิดว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ครูหลายคนตั้งคำถาม
การรู้เท่าทันปัญหาสุขภาพจิตหรือปัญหาการเรียนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการทำการรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคทางจิตเวชที่มีความรุนแรงและเรื้อรังได้ นอกไปจากนี้ยังทำให้คุณครูสามารถทำความเข้าใจนักเรียนแล้วนำไปสู่การออกแบบกิจกรรมหรือการสอนที่เหมาะสมต่อตัวเด็กต่อไปได้อีกด้วย
สำหรับคุณครูที่อยากช่วยเหลือนักเรียนที่กำลังเผชิญปัญหา แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี? วันนี้เรามีทั้งข้อสังเกต เครื่องมือ และตัวช่วยดูแลสุขภาพใจเด็กมาแนะนำกัน!
ก่อนอื่นเราอยากชวนไปเริ่มต้นที่การสังเกตสัญญาณ จะรู้ได้ยังไงว่าสุขภาพใจนักเรียนมีปัญหา
ชวนสังเกตพฤติกรรมเหล่านี้กัน!
ในการสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนว่ามีปัญหาสุขภาพจิตหรือไม่ สามารถแบ่งการสังเกตออกเป็น 2 กรณี ดังนี้
นอกจากการสังเกตจากพฤติกรรม การพูดคุยถามไถ่ด้วยคำถามเปิด เช่น "ช่วงนี้รู้สึกยังไงบ้าง?" "มีเรื่องอะไรไม่สบายใจไหม?" ก็เป็นวิธีการที่ควรทำควบคู่กันไป และถ้ามากกว่าการสังเกตและถามไถ่คุณครูจะมีวิธีเช็กสุขภาพใจของเด็ก ๆ ยังไงได้อีก
แนะนำเครื่องมือประเมินสุขภาพจิตแบบง่าย ๆ ที่จะช่วยคัดกรองปัญหาสุขภาพจิตเด็กเบื้องต้นได้
คุณครูและผู้ปกครองยังสามารถช่วยเหลือในการประเมินเบื้องต้นได้ด้วยการใช้เครื่องมือแบบสอบถามที่เป็นมาตรฐาน ในบทความนี้เราจะพาคุณครูไปรู้จักกับ “แบบประเมินจุดแข็งและจุดอ่อน Strengths and Difficulties Questionaire (SDQ)” (4-16 ปี)
SDQ เป็นแบบสอบถามที่มี 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ครูเป็นผู้ประเมิน ฉบับที่ผู้ปกครองเป็นผู้ประเมิน และฉบับที่นักเรียนเป็นผู้ประเมินตนเอง (นักเรียนจะต้องมีอายุ 11-16 ปีเท่านั้นจึงจะทำการประเมินตนเองได้) สำหรับประเมินปัญหาสุขภาพใจในภาพรวม ซึ่งอาจใช้การประเมินหลายฉบับร่วมกันหรือเพียงฉบับใดฉบับหนึ่งก็ได้ แต่หากใช้มากกว่าหนึ่งฉบับ ควรที่จะประเมินในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน และผู้ที่ประเมินเด็กจะต้องมีความใกล้ชิดกับเด็กมาระยะหนึ่ง
🔗แบบประเมิน SDQ: https://mhc5.dmh.go.th/km/pdf/school/6.pdf
มาถึงตรงนี้ เราขอเล่าถึงวิธีการประเมินฉบับเข้าใจง่าย คุณครูที่ไม่คุ้นเคยกับแบบประเมินทางจิตวิทยา อย่าเพิ่งตกใจกลัว ขอให้ค่อย ๆ ทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กัน
ภายในแบบประเมินนี้หน้าที่ 1 จะประกอบไปด้วยข้อคำถาม 25 ข้อ แบ่งเป็น 5 ด้านด้วยกัน คือ กลุ่มพฤติกรรมเกเร กลุ่มพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่ง กลุ่มปัญหาทางอารมณ์ กลุ่มปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อน ซึ่ง 4 ด้านแรกนี้จะแสดงถึงด้านที่เป็นปัญหา ส่วนด้านที่ 5 กลุ่มพฤติกรรมด้านสัมพันธภาพทางสังคม จะแสดงถึงจุดแข็งของเด็ก
และในหน้าที่ 2 ของแบบประเมินจะข้อคำถามเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นหรือระดับความรุนแรงของปัญหา
นอกไปจากนี้ ยังมีเครื่องมือคัดกรองอื่น ๆ ที่นักเรียนสามารถประเมินด้วยตนเองได้ เช่น แบบวัดภาวะซึมเศร้า Center for Epidemiological Studies-Depression Scale (CES-D) สำหรับช่วงอายุ 15-18 ปี แบบประเมินภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่น The Patient Health Questionnaire for Adolescents (PHQ-A) สำหรับช่วงอายุ 11-20 ปี และแบบประเมินความเข้มแข็งทางใจ Resilience Scales สำหรับช่วงอายุ 10-12 และ 13-18 ปี
ซึ่งไม่เพียงแต่คุณครูสามารถแนะนำเครื่องมือเหล่านี้ให้นักเรียนลองประเมินตัวเอง แต่หากคุณครูพบความเสี่ยงและต้องการที่จะพูดคุยกับนักเรียนรายบุคคล คุณครูยังสามารถนำข้อคำถามในเครื่องมือเหล่านี้มาเป็นแนวทางในการพูดคุยได้อีกด้วย เช่น การถามอาการ สภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ให้ขยายความถึงความคิด ความรู้สึกที่มี สาเหตุที่มาและผลกระทบ รวมไปถึงระดับความรุนแรงและความถี่ของปัญหา เป็นต้น เพื่อรับฟัง ทำความเข้าใจ และหาทางช่วยเหลือเด็กต่อไป
อย่างไรก็ตามในการประเมิน คัดกรอง หรือพูดคุยกับเด็ก ๆ มีสิ่งสำคัญที่คุณครูจะต้องคำนึงไว้ด้วยนั่นก็คือ
หากตอนนี้ รู้สึกว่านักเรียนของตัวเองต้องการ ‘ความช่วยเหลือทางใจ’ คำถามต่อไปที่คุณครูอาจจะมีขึ้นมาคือ “แล้วเราช่วยเหลือนักเรียนได้ยังไงบ้าง” “จะคุยกับนักเรียนกลุ่มนี้ยังไง” หรือ “มีวิธีการอะไรที่ต้องช่วยเด็ก ๆ ได้บ้าง”
เราเข้าใจว่าการดูแลใจนักเรียนไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งภาระหน้าที่อันล้นหลาม ความไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจว่าจะใช้เข้าไปคุยกับเด็กยังไง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับคุณครูหลายคน สิ่งหนึ่งที่เป็นทางเลือก คือ การแนะนำ “ส่งต่อให้กับผู้เชี่ยวชาญ”
"กำแพงพักใจ ที่พักใจให้เยาวชน" หนึ่งในช่องทางการส่งต่อที่สะดวกและไม่มีค่าใช้จ่าย ช่วยให้นักเรียนได้คุยกับนักจิตวิทยา จิตแพทย์ และทีมงานผู้ดูแลใจ (Mental Health Support) ที่มีความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพใจ
โครงการนี้ เป็นโครงการนำร่องเพื่อให้เยาวชนในกรุงเทพฯ ได้เข้าถึงบริการสุขภาพจิตคุณภาพสูงผ่านช่องทางออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชัน ooca โดยผู้ที่เข้ารับบริการนี้ได้คือ เยาวชนและวัยรุ่นอายุ 15 - 25 ปี ที่มีทะเบียนบ้านอยู่ใน กทม. สามารถลงทะเบียนและใช้บริการได้บนแอปพลิเคชัน ooca ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึง 31 สิงหาคม 2567
ส่วนคุณครูคนไหนที่ดูแลนักเรียนในจังหวัดอื่น ก็ยังสามารถแนะนำให้นักเรียนมารับคำปรึกษากับจิตแพทย์และนักจิตวิทยาได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกัน โดยลงทะเบียนผ่านช่องทางนี้ https://shorturl.asia/2CR7Y
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ "กำแพงพักใจ ที่พักใจให้เยาวชน" ได้ที่ Facebook ของ Wall of Sharing ได้เลย!
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru
เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย
ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!