จากกิจกรรมครูปล่อยของ Connect เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 เวลา 19.00-20.30 น. ผ่าน Zoom Application “ทำอย่างไร เมื่อต้องดูแลใจนักเรียน” แชร์วิธีการ พร้อมช่องทางให้ความช่วยเหลือสุขภาพใจวัยรุ่น ซึ่ง insKru ร่วมกับ Wall of Sharing ชวนคุณเบสท์-อัศวเดช รุ่งสว่าง นักจิตวิทยาโรงเรียน และอาสาสมัคร Mental Health Support โครงการที่พักใจให้เยาวชน และคุณนิว-พรเลิศ ชุตินธรางค์กูล นักจิตวิทยาอิสระ ในโครงการที่พักใจให้เยาวชน ผู้มีประสบการณ์ให้คำปรึกษาเยาวชนและวัยรุ่น
คุณครู และนักจิตวิทยาในโรงเรียนผู้เข้าร่วมวงคุย ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ของตนเองที่ได้พบเจอมา ดังนี้
นอกจากคุณครูแล้ว ใครมีส่วนร่วมในการดูแลจิตใจเด็กๆ ได้อีกบ้าง
ผู้บริหารโรงเรียน
มีความเข้าใจว่าควรจะออกแบบสภาพแวดล้อมในโรงเรียน ออกแบบกฎระเบียบ นโยบายอย่างไรที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดสุขภาพจิตที่ดี หากผู้บริหารโรงเรียนมีเป้าหมายชัดเจนจะส่งผลให้ทุกคนกล้าลงมือปฏิบัติมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อเกิดบรรยากาศที่ดีขึ้นต่อสุขภาพจิตของนักเรียนตามมาด้วย
คุณครู
เป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุด ต้องมีทักษะการสังเกตก่อน มีข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนแต่ละคน มีความเข้าใจว่าสุขภาพจิตที่ดีเป็นอย่างไร เมื่อนักเรียนมีสุขภาพจิตที่ผิดปกติไป พฤติกรรมจะแสดงออกแบบไหน พฤติกรรมเสี่ยงเป็นยังไง ระบุได้ชัดเจนว่ากลุ่มไหนที่ควรดูแลใกล้ชิด กลุ่มไหนที่สบายใจได้ และมีทักษะการรับฟัง เพราะแม้จะสังเกตไม่เก่ง แต่รับฟังได้ดีก็สามารถสร้างบรรยากาศที่ดีได้
นักเรียน
ควรรู้ว่าการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีทำอย่างไร มีความเคารพผู้อื่น การเคารพกฎเกณฑ์ที่ตกลงกันไว้ เคารพสิทธิผู้อื่น และรักษาสิทธิของตัวเอง มีความเห็นอกเห็นใจ ช่วยเหลือเพื่อนนักเรียนด้วยกันเอง สังเกตเห็นว่าเพื่อนมีความผิดปกติ แจ้งให้ผู้ใหญ่ที่ไว้วางใจรับรู้
ผู้ปกครอง
ศึกษา ทำความเข้าใจว่าสุขภาพจิตที่ดีคืออะไร ทำความเข้าใจจิตวิทยาเบื้องต้น ผู้ปกครองก็มีหน้าที่เตรียมลูก ซัพพอร์ตลูกให้พร้อมไปโรงเรียนด้วย ไม่ใช่เพียงโยนความคาดหวัง โยนภาระสุขภาพจิตเด็กมาที่โรงเรียนแต่เพียงฝ่ายเดียว
เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ส่งผลต่อร่างกายนักเรียน
หากคุณครูพบเห็นนักเรียนทำร้ายตัวเอง กรีดข้อมือ พยายามทำร้ายตัวเอง หรือพยายามฆ่าตัวตายในโรงเรียน ขั้นตอนแรก ครูที่พบเห็นเหตุการณ์ ดีลกับตัวเองก่อน ตั้งสติ ไม่รีบหรือแสดงท่าทีตกใจเกินไป เพราะนักเรียนที่กำลังทำร้ายตัวเอง อาจอยู่ในภาวะอารมณ์ที่เข้มข้น สับสนวุ่นวาย เดือดพล่าน หรือเศร้ามากๆ การเข้าไปช่วยด้วยการรีบร้อนหรือตกใจ ยิ่งส่งเสริมให้เขาตกใจมากขึ้น รู้สึกแย่มากขึ้น เมื่อคุณครูตั้งสติได้แล้ว ให้เข้าไปหานักเรียนด้วยความใจเย็น ค่อยๆ ถามเขา รับฟังเขา ให้เขาพูดอะไรบางอย่าง ระบายออกมา ทำให้เขาเห็นว่ามีคนรอฟัง มีคนเป็นเพื่อนเขาอยู่ ไม่ต้องรีบร้อนให้เขาหยุดการกระทำ ลองถามด้วยคำถามว่า “นักเรียนเป็นอะไร” “เกิดอะไรขึ้น” “กำลังทำอะไร” “นักเรียนมีแผนอะไรท่ีคิดไว้อยู่บ้าง กำลังจะทำอะไรต่อ” นักจิตวิทยาย้ำว่าการสอบถามเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย ไม่ได้เป็นการกระตุ้นให้มีความรู้สึกอยากตายมากขึ้น แต่เป็นคำถามที่ทำให้เขาได้ระบายว่าเขามีความคิดอย่างไร และช่วยให้เขาได้สติ ทบทวนว่าตนเองกำลังตั้งใจทำอะไร เวลาที่ได้เล่าถึงสิ่งที่ไม่เคยบอกใคร อารมณ์เขาจะพรั่งพรูออกมา เราอยู่ตรงนั้นอาจจะใช้เวลานาน อาจจะหลายชั่วโมง จนกระทั่งเขาใจเย็นลง จึงค่อยประสานความช่วยเหลือ ติดตามผลต่อเนื่อง
เมื่อนักเรียนมีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต
วิธีการสังเกตว่าเด็กคนไหนอยู่ในความเสี่ยง สามารถประเมินได้ 4 ด้าน ต่อไปนี้
1. ด้านร่างกาย มีความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันใน 2 สัปดาห์
2. ด้านอารมณ์
3. ด้านสังคม
4. ด้านผลการเรียน ความตั้งใจเรียนที่เปลี่ยนไปอาจมาจากความเศร้าที่กระทบภาวะอารมณ์ จนหมดแรงจูงใจในการเรียน ส่งผลให้ขาดความรับผิดชอบ ไม่ส่งงาน ไม่ส่งการบ้าน ไม่เข้าเรียน หรือนักเรียนที่เคยมีผลการเรียนดี จู่ ๆ ผลการเรียนตกลงอย่างผิดปกติ
แต่อย่าเพิ่งรีบด่วนสรุปน้า! เมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติ คุณครูควรคัดกรองพฤติกรรมของนักเรียนอย่างรอบด้าน ไม่รีบด่วนสรุป แต่เข้าไปรับฟัง สอบถามนักเรียน คุณครูหลายๆ คนอาจจะเคยสังเกตว่านักเรียนบางคนนั่งกินข้าวคนเดียว เมื่อลองไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น บางคนอาจจะตอบว่า เพื่อนไม่นั่งด้วย ไม่มีความสุขเลย บางคนอาจจะสบายใจ จะได้นั่งกินไปดูยูทูบไปด้วย พฤติกรรมแบบเดียวกันอาจจะเป็นปัญหาหรือไม่เป็นปัญหาก็ได้ การสอบถามนักเรียนให้แน่ใจ จึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญไม่แพ้การสังเกต
วิทยากรแสดงบทบาทสมมติ ให้เห็นกระบวนการพูดคุย รับฟังนักเรียน ดังนี้
อิฐเป็นนักเรียนชายชั้นมัธยม เพิ่งย้ายโรงเรียนมาปีที่แล้ว ช่วงพักมักจะเล่นบาสกับเพื่อนเป็นประจำ วันหนึ่งอิฐมาปรึกษาครูที่ห้องพักครู
นักเรียน: สวัสดีครับ
ครู: สวัสดีครับ
นักเรียน: ช่วงนี้เครียดมากเลย ปรับตัวกับโรงเรียนใหม่ไม่ได้อะครับ
ครู: เรารู้สึกว่าเราเครียดใช่ไหม มันเกิดดอะไรขึ้น พอจะเล่าให้ครูฟังได้ไหมเอ่ย
นักเรียน: ผมพูดไม่เก่ง เพื่อนที่โรงเรียนเขา เหมือนผมไม่มีเพื่อนในห้องเลย เพื่อนในห้องส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง มีผู้ชายนิดเดียว ส่วนใหญ่เป็นเด็กเรียนกัน เข้าไม่ถึง ผมจะไปอยู่กับห้องอื่นมากกว่า
ครู: ไม่รู้จะเริ่มเข้ากับเพื่อนยังไงใช่ไหม เพราะเพื่อนในห้องเป็นเพื่อนต่างเพศกับเรา แต่ว่าเราก็มีเพื่อนที่ค่อนข้างสนิท ที่เราคุยกับเขาเป็นประจำ
นักเรียน: ยังไม่ถึงกับสนิทขนาดนั้นอะครับ เหมือนผมแค่รู้จักด้วย
ครู: งั้นในห้อง เราคิดว่าสนิทกับใครที่สุด
นักเรียน: ก็น่าจะมีเพื่อนผู้ชายในห้อง ทำงานกลุ่มด้วยกัน เคยคุยด้วย แต่ผมพูดไม่เก่ง ไม่รู้จะชวนคุยยังไงต่อ ได้คุยกันแค่ช่วงทำงาน
ครู: ถ้าไม่ใช่เรื่องงานก็ไม่มีบทสนทนาอื่นๆ ที่เราจะเริ่มคุยกับเพื่อนใช่ไหม
นักเรียน: เพื่อนในห้องเรียนเก่งกันด้วย ผมก็รู้สึกแตกต่าง ไม่ได้อยากรู้สึกแตกต่าง เหมือนเข้ากับคนอื่นไม่ได้ยังไงไม่รู้
ครู: เหมือนรู้สึกว่าเราแตกต่างจากคนอื่นเนอะ
นักเรียน: ใช่ครับ
ครู: คุณครูขอบคุณอิฐมากนะ ที่สังเกตเห็นตัวเอง แล้วก็รับรู้ว่าเราต้องการความช่วยเหลือ วันนี้มาหาคุณครู เป็นเรื่องที่ดีนะที่อิฐสังเกตตัวเองแล้วรู้ว่าต้องการความช่วยเหลือ เป็นจุดที่ดีมากเลย คุณครูอาจจะมีคำถามบางคำถามที่อยากจะถามอิฐหน่อยแล้วจะให้อิฐช่วยให้คะแนนแล้วกัน คะแนน 0-3 คุณครูจะถามคำถามนะ แล้วให้อิฐให้คะแนนว่าเท่าไหร่ ช่วงนี้รู้สึกว่ามีปัญหาการนอน นอนไม่ค่อยหลับรึเปล่า
นักเรียน: 1 ครับ
ครู: สมาธิในการเรียนในห้อง การจดจ่อ 0-3 เท่าไหร่ดี
นักเรียน: ผมว่า 1 นะ
ครู: คราวนี้เป็นเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก เรากังวลใจ หงุดหงิด เหวี่ยงง่ายไหม 0-3 ประมาณกี่คะแนน
นักเรียน: 2 ครับ
ครู: ขอบคุณอิฐมากเลยที่ให้ความร่วมมือคุณครู แล้วในเรื่องอารมณ์เนี่ย มันเป็นความรู้สึกเซ็งๆ หรือว่า รู้สึกทุกอย่างมันเฉื่อยชาไปหมดเลย รู้สึกว่าช่วงนี้เกิดอารมณ์แบบนี้มากน้อยแค่ไหน 0-3 ประมาณเท่าไหร่
นักเรียน: 2 ครับ เป็นบ่อย
ครู: โอเค ก็มีอยู่บ้างเนอะ ทีนี้ สุดท้ายแล้ว เรามีความคิดว่าไม่อยากเจอผู้คน ไม่อยากเจอคนอื่น ในช่วงที่ผ่านมา เรามีความคิด หรือความรู้สึกประมาณนี้บ้างไหม 0-3 ประมาณเท่าไหร่
นักเรียน: 1 ครับ
ครู: ทีนี้อิฐคิดว่าเราจะจัดการเรื่องนี้ยังไงดี ที่เราไม่ค่อยกล้าคุยกับเพื่อน หรือเราคิดว่าเราแตกต่างจากเขา
นักเรียน: ก็ ว่าจะเข้าไปคุยกับเขาแหละครับ แต่ว่าก็ไม่รู้จะทำได้ดีรึเปล่า
ครู: เหมือนเราก็อยากเข้าไปคุยกับเขา แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงใช่ไหม งั้นเอาอย่างนี้ดีกว่า ปกติอิฐชอบทำอะไรบ้าง
นักเรียน: ชอบเล่นบาสครับ
ครู: เพื่อนในห้องคนไหนดูชอบเล่นบาส หรือดูมีความสนใจเรื่องบาสเก็ตบอลบ้างไหม
นักเรียน: ผมไม่แน่ใจ เห็นเขาเคยเล่นปิงปองอยู่ แต่ไม่มั่นใจว่าเขาจะชอบเล่นบาสด้วยรึเปล่า
ครู: โอเค เพื่อนบางคนก็ดูสนใจเรื่องกีฬาใช่ไหม เมื่อกี้อิฐคุยกับครูอิฐก็พูดอยู่เนอะว่าเราชอบกิจกรรมหรือเล่นกีฬาใช่ไหม
นักเรียน: ใช่ครับ
ครู: โอเคช่วงพักเที่ยงเวลาใกล้หมดแล้วเนอะ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเวลานี้อิฐมาหาครูอีกรอบหนึ่งดีไหม
นักเรียน: ดีครับ
ครู: คิดว่ายังไงถ้าเราจะลองไปคุยกับเพื่อนที่ดูชอบกีฬา หรือสนใจกีฬาก่อน
นักเรียน: ผมจะลองดูครับ ว่าจะได้ผลหรือเปล่า
ครู: โอเค ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ ไม่ว่าจะเรื่องนี้ หรือเรื่องอื่นก็มาหาครูที่ห้องพักครูได้เสมอ ทุกอย่างที่เราคุยกันจะเป็นความลับ ให้เราสบายใจได้ แล้วก็เรื่องที่คุยกันวันนี้ในห้องนี้ ก็จะจบแค่ในห้องนี้ วันนี้ก็ประมาณนี้เนอะ
จากบทบาทสมมติข้างต้นแสดงให้เห็นว่าคุณครูทำหน้าที่รับฟังอย่างเต็มที่ เปิดโอกาสให้นักเรียนพูดให้จบก่อน ไม่ด่วนตัดสิน กับมองปัญหาด้วยมุมมองของเขาจริงๆ ไม่พยายามตัดสินด้วยมุมมองของตัวเอง จะเห็นได้ว่าคุณครูจะไม่มีการพูดว่า “ปัญหาแค่นี้เอง จะเครียดทำไม” เพราะปัญหาเล็กของผู้ใหญ่ อาจจะเป็นปัญหาใหญ่หนักหนาสำหรับเด็ก
อีกจุดที่นักจิตวิทยาเน้นย้ำคือ การเลือกพื้นที่พูดคุยที่เป็นส่วนตัว ไม่พลุกพล่าน ทำให้นักเรียนสบายใจ เป็นพื้นที่ปลอดภัยจริงๆ ให้พูดสิ่งที่อยากพูด พูดสิ่งที่คิด หรือรู้สึกได้ เป็นความลับระหว่างกัน 2 คน ซึ่งครูต้องเก็บเป็นความลับให้ได้จริงๆ
แต่หากมีเรื่องที่ต้องส่งต่อบุคคลภายนอก เช่น นักเรียนเล่าว่า เวลาเครียด มักจะกรีดข้อมือตัวเอง คุณครูต้องบอกเด็กก่อนว่า “เรื่องนี้แค่เรา 2 คนไม่เพียงพอที่จะช่วยนักเรียน ครูขอบอกพ่อแม่ บอกนักจิตวิทยานะ” คุณครูต้องขออนุญาตเด็กก่อน หลายๆ ครั้งถ้าเด็กสบายใจที่จะพูดกับเรา เป็นคนที่เขาไว้ใจแล้ว พอเราขออนุญาต เด็กก็มักจะให้ความร่วมมืออยู่แล้ว แต่หากครั้งแรกยังไม่อนุญาต ก็อาจจะต้องบอกนักเรียนให้ชัดเจนว่า “ถ้าครั้งหน้าที่มาคุยกัน เรื่องนี้ยังเป็นปัญหา หรือหนักขึ้น ครูต้องขอบอกคุณแม่ หรือคนที่จะให้มาช่วยต่อไป”
กล่าวโดยสรุปคือ การรับฟังปัญหาของนักเรียนคุณครูควรคำนึง 3 สิ่งต่อไปนี้
แบบประเมินพฤติกรรม SNAP-IV
สำหรับพ่อแม่ ผู้ดูแลเด็กประเมินเพื่อยืนยันกลุ่มเด็กอายุ 6 – 18 ปีที่มีแนวโน้มเป็นกลุ่มโรคสมาธิสั้น
https://ricd.go.th/webth2/wp-content/uploads/2020/04/SNAP-IV-teachers.pdf
สำหรับครูอนุบาล หรือครูประถม ที่เห็นนักเรียนบางคนซน ไม่ค่อยนิ่ง แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าเด็กซุกซนตามวัย หรือซุกซนมากไปจนมีแนวโน้มเป็นสมาธิสั้น แบบประเมิน SNAP IV เป็นเครื่องมือที่ผ่านการทดสอบกับกลุ่มประชากรจำนวนมากมาแล้ว คุณครูสามารถนำไปใช้งานเบื้องต้นได้ หรือนำไปให้ผู้ปกครองช่วยคัดกรอง จะยิ่งมีส่วนช่วยให้แพทย์วินิจฉัยอาการได้ดีขึ้น อีกทั้งการใช้เครื่องมือก็จะลดการใช้ดุลพินิจ หรือตัดปัญหาที่ผู้ปกครองมองว่าครูอคติได้
แบบประเมินความเครียด (ST-5)
https://env.anamai.moph.go.th/th/cms-of-87/download/?did=191892&id=37464&reload=
ภาพจาก www.checkin.dmh.go.th
เครื่องมือนี้ให้เด็กประเมินเองได้ หรือครูใช้เป็นคำถามในการชวนพูดคุยกับนักเรียนได้ หากผลลัพธ์ออกมาว่านักเรียนมีความเครียดระดับปานกลางอาจจะมีการนัดพูดคุย เพื่อประเมินซ้ำเพิ่มเติม แต่หากนักเรียนมีความเครียดมาก อาจจะต้องมีการสื่อสารกับผู้ปกครอง เพื่อส่งต่อผู้เชี่ยวชาญภายนอก
"กำแพงพักใจ ที่พักใจให้เยาวชน" เป็นหนึ่งในช่องทางการส่งต่อที่สะดวก และไม่มีค่าใช้จ่าย ช่วยให้นักเรียนได้คุย กับนักจิตวิทยา จิตแพทย์ และทีมงานผู้ดูแลใจ พร้อมให้คำปรึกษาด้านสุขภาพใจ เป็นโครงการนำร่องเพื่อให้เยาวชนอายุ 15 - 25 ปี ที่อยู่อาศัย เรียน หรือทำงานในกรุงเทพฯ ได้เข้าถึงบริการสุขภาพจิตคุณภาพสูงผ่านช่องทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน ooca ภายใน 30 มิถุนายน 2568 หรือจนกว่าจะมีผู้รับสิทธิ์ครบตามกำหนด
ส่วนคุณครูคนไหนที่ดูแลนักเรียนในจังหวัดอื่น ก็ยังสามารถแนะนำให้นักเรียนมารับคำปรึกษากับจิตแพทย์และนักจิตวิทยาได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกัน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : Wall of Sharing ได้เลย!
แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru
เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย
ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!