inskru
insKru Selected

การรับรองความรู้สึก ตอนที่ 4 รับรองความรู้สึก แม้ไม่เห็นด้วย

0
0
ภาพประกอบไอเดีย การรับรองความรู้สึก ตอนที่ 4 รับรองความรู้สึก แม้ไม่เห็นด้วย

ในตอนที่แล้ว เราได้รับรู้แก่นสำคัญอีกประการหนึ่งของการรับรองความรู้สึก นั่นคือ “รับรองความรู้สึกได้ทั้งบวกและลบ” เพราะไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดที่ดีหรือไม่ดีในตัวมันเอง เราจึงต้องระวังการใช้มุมมองของตนเอง “ตัดสิน” อารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นเพราะเป็นการลดทอนความสำคัญของอารมณ์ความรู้สึกของคนๆ นั้น


(อ่านตอน 3 ได้ที่นี่ https://inskru.com/idea/-Nx7L-CzfJq6YFcweNU7/)


กลับไปที่ตัวอย่างสถานการณ์อีกครั้ง “ไก่” ที่กำลังเครียดกับการสอบ แล้วมาพูดกับเราว่า “ฉันเครียดกับการสอบวันพรุ่งนี้จัง”


สมมติว่าเรารู้การกระทำของไก่มาตลอดว่าไก่ไม่ได้ขยันทบทวนบทเรียนเท่าที่ควร ลึกๆ แล้วเราไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ไก่เครียดเลย เพราะเรารู้อยู่แล้วว่ามันต้องมาถึงจุดนี้ คำถามคือ เราสามารถรับรองความรู้สึก เมื่อเราไม่เห็นด้วย ได้หรือไม่


คำตอบคือ ได้ และควรทำ เพราะอะไร


ลองนึกสถานการณ์ของไก่ สมมติเราตอบไก่ว่า

"ก็เพราะเธอไม่ตั้งใจอ่านหนังสือสอบเองนี่" >> แบบนี้คือ ตำหนิไก่กลับไปในทันที

"เธอไม่รู้จริงๆ หรือว่า เพราะอะไรทำให้เธอเครียด" >> ย้อนถาม เหมือนให้ไก่ลองทบทวนตนเอง แต่ลึกๆ แล้ว กลังจะบอกว่าไก่ไม่ควรรู้สึกเช่นนั้น


จะเห็นได้ว่าหากเราตอบด้วย 2 ประโยคข้างต้น สะท้อนว่าเราไม่ได้สนใจความรู้สึกของไก่ และตอบกลับด้วยความคิด ความรู้สึกของเรา แม้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไก่จะมีปัญหา ทำให้เราไม่เห็นด้วยกับไก่ แต่การตอบเช่นนี้ ได้ประโยชน์อะไรกับไก่ หรือกับตัวเราบ้าง นอกจากเกิดความรู้สึกขุ่นมัว ผิดใจกัน หรืออาจถึงขั้นทะเลาะกัน


หากมองด้วยมุมของ Empathy เราต้องพิจารณาก่อนว่าเขารู้สึกอย่างไร จากมุมมองของเขา กรณีของไก่ ตรงไปตรงมาว่าไก่เครียด และต้องการใครซักคนที่รับฟังเขาระบายความทุกข์ใจ หากเราอ่านสถานการณ์นี้ออก และเท่าทันความคิดของเรา เราจะสามารถเลือกต่อบทสนทนาอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ได้ นอกจากนี้ หากพิจารณาลึกลงไปอีกนิด เราจะพบว่าลึกๆ แล้วไก่เขาไว้ใจเรา เขาจึงเลือกที่จะมาบ่น (หรือคำกลางๆ คือต้องการสื่อสารความรู้สึก) ให้เราฟัง แสดงว่าสายสัมพันธ์ระหว่างเรายังดีอยู่ น่าเสียดาย หากสายสัมพันธ์นี้ถูกบั่นทอนลง เพียงแค่เพราะว่าเราไม่ได้ใส่ใจเขาให้มากพอ และตอบสนองด้วยความรู้สึกที่ไม่โอเคของเราเร็วเกินไป


(การเท่าทันความคิดของตนเองจึงสำคัญ มันคือเรื่อง Mindfulness หรือการมีสติรู้ตัว ซึ่งครูเปี๊ยกเคยเขียนเรื่องชั้นเรียนปลูกสติไว้ด้วยนะครับ)


จากสถานการณ์ของไก่ เราสามารถรับรองความรู้สึกอย่างเดียว แล้วปิดบทสนทนาเลยก็ได้ แต่ก็อาจมีคำถามว่า แล้วถ้าเราต้องการแนะนำให้ไก่พิจารณาตนเองด้วย หรืออยากให้ความเห็น จะทำอย่างไร คำตอบคือ หลังจากรองรับความรู้สึกเครียดของเขาแล้ว จะทำให้เขาผ่อนคลายลง ไม่ได้ตั้งกำแพงใส่เรา ตรงนี้เราสามารถใช้อย่างน้อย 2 วิธี เพื่อให้เขามอบโอกาสในการรับฟังข้อเสนอแนะของเรา


1) ลองถามเขาว่า ต้องการให้เราช่วยอะไรไหม หรือมีอะไรที่เราทำให้เขาได้บ้าง บ่อยครั้งคู่สนทนาอาจตอบกลับมาว่า "แค่ช่วยรับฟังก็ขอบคุณมากแล้ว" หรือเขาอาจจะ "รู้" ปัญหาของตนเองอยู่แล้ว รวมถึงอาจเตรียมทางออก หรือเตรียมทางแก้ไขเอาไว้แล้ว เช่น ยอมรับสภาพ หรือกลับไปทำในสิ่งที่เขาคิดไว้ เท่าที่เหลือเวลาให้ทำ เป็นต้น ซึ่งจะทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงเองได้ ในทิศทางเดียวกับที่เราคาดหวังก็เป็นได้


2) ขออนุญาตแบ่งปันความคิดเห็นของตนเอง เมื่อเราสังเกตว่าผู้ฟังมีท่าทีเปิดรับแล้ว เราสามารถถามตรงๆ ได้ เช่น อยากฟังความเห็นของเราไหม หรือ เราอยากแนะนำอะไรหน่อยได้ไหม เป็นต้น การขออนุญาต เป็นการแสดงท่าทีใส่ใจต่ออีกฝ่าย หากเขาอนุญาต จะทำให้ความเห็นของเราได้รับการรับฟังมากขึ้น และความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเขาก็จะดีขึ้นด้วย แต่ถ้าเขาไม่อนุญาต เราก็เคารพการตัดสินใจของเรา การสนทนาก็จะจบลงได้ โดยไม่เกิดความเสียหายขึ้นในความสัมพันธ์


**********


มีบางกรณีที่เราไม่เห็นด้วย และควรที่จะต้องพูดในส่วนของเรา เช่น กรณีที่ผู้พูดกล่าวหา ตำหนิ หรือโกรธเรา กรณีเช่นนี้ การรับรองความรู้สึกเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ทำให้เกิดความเข้าใจระหว่างกัน และไม่ได้หมายความว่าเราต้องเข้าใจอารมณ์หงุดหงิดของเขาอยู่ฝ่ายเดียว ความเห็นและอารมณ์ความรู้สึกของเราก็เป็นสิ่งจำเป็น และต้องได้รับการดูแลเช่นกัน แต่ "ท่าที" หรือ "ลีลา" ในการเสนอความคิดเห็นของเรา มีความสำคัญที่จะทำให้การต่อบทสนทนาครั้งนี้ราบรื่นขึ้น


ลองยกตัวอย่าง สมมติว่ามีนักเรียนมาโวยวายกับครูว่า สมุดของเขาหาย เขาบอกว่าส่งครูแล้วต้องอยู่ที่ครูแน่ๆ แทนที่ครูจะระเบิดอารมณ์ใส่นักเรียนกลับ ครูอาจถามกลับว่า "แต่ว่า ครูฝากหัวหน้าห้องแจกสมุดคืนให้ทุกคนแล้วนะ เพื่อนๆ เธอก็น่าจะได้รับสมุดกันหมดแล้ว เธอรู้เรื่องนี้ไหม" สังเกตว่า ข้อความนี้ทำให้ครูยับยั้งอารมณ์ของตนเองได้ พร้อมกับมอบข้อมูลที่นักเรียนอาจจะยังไม่รู้กลับไป เพื่อทำให้ท่าทีของนักเรียนอ่อนลง แล้วครูค่อยยืนยันความชอบธรรมของตนพร้อมเสนอแนะกลับได้ว่า "ถ้าเธอไม่รู้เรื่องนี้ ก็ลองไปถามหัวหน้าห้องของเธอดู แต่เธอไม่ควรมาโวยวายกับครู ทั้งที่ยังไม่รู้อะไร นี่เป็นท่าทีที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะทำกับใครก็ตาม ต่อให้เป็นเพื่อนของเธอ ถ้าโวยวายใส่แบบนี้ คงได้ทะเลาะกันแน่ๆ ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกล่ะ"


กรณีนี้ นักเรียนไม่ได้มอบ Empathy ให้ครู เพราะมาโวยวายแต่แรกโดยไม่สอบถามให้ดีก่อน ดังนั้นครูมีสิทธิ์ที่จะยืดหยัดเพื่อตนเองได้ โดยไม่ต้องถามหรือได้รับอนุญาตก่อน


หากครูมี Empathy ให้แก่นักเรียน ก็อาจตามด้วยข้อความว่า "ครูเข้าใจนะ สมุดหายมันก็น่าร้อนใจอยู่ ครูก็เคยเป็นนักเรียนมาก่อน ครูเข้าใจ ยังไงก็ลองไปถามหัวหน้าห้องดูก่อนแล้วกัน" เพื่อลดความเสียหน้าของนักเรียนลงได้อีก


**********


ตัวอย่างข้างต้น เป็นกรณีของครูกับนักเรียน มีกรณีที่ละเอียดอ่อน และเปราะบางมากมาย เช่น ครูกับเพื่อนครู ครูกับผู้ปกครอง ครูกับผู้บังคับบัญชา หรือแม้แต่ครูกับคนในครอบครัว ซึ่งการตอบสนองต่อแต่ละสถานการณ์ก็ไม่เหมือนกัน แต่ทั้งหมดอยู่บนหลักการเดียวกัน คือ ใช้การรับรองความรู้สึกเป็นพื้นฐาน ประโยชน์ที่ได้รับ เช่น ทำให้การสนทนาราบรื่นขึ้น ลดการปะทะที่ไม่จำเป็น รักษาสายสัมพันธ์ระหว่างคู่สนทนา ฝึกทักษะการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ฝึกการมีสติรู้เท่าทันตนเอง เป็นต้น


ตอนที่ 5 จะมาสรุปแก่นสำคัญ และอธิบายขั้นตอนของการรับรองความรู้สึกให้เห็นชัดเจน


หมายเหตุ : อ่านเรื่อง "การรับรองความรู้สึก" ได้ในหนังสือ "ฟังด้วยหู-ใจ: เปลี่ยนวิธีฟังเพียงนิด พิชิตทุกความสัมพันธ์" แปลจาก I Hear You: The Surprisingly Simple Skill Behind Extraordinary Relationships ของสำนักพิมพ์ Bookscape การยกตัวอย่างและอธิบายที่ปรากฎในบทความ เป็นการสรุปความรู้ของครูเปี๊ยกเองนะครับ


ตัวช่วยครูทักษะการสื่อสารการรับรองความรู้สึกการฟังอย่างลึกซึ้ง

ไอเดียนี้เป็นไงบ้าง?

0
ได้แรงบันดาลใจ
0
ลงไอเดียอีกน้า~
avatar-frame
แบ่งปันโดย
insครูเปี๊ยก
ครูประจำชั้นป.5 ที่ใช้คาบโฮมรูมและวิชาบูรณาการ ทดลองบ่มเพาะ Empathy / Self-Driven และ Mindfulness

อยากร่วมแลกเปลี่ยน?

please login

แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru

เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย

icon-please-commentมาเป็นคนแรกที่แลกเปลี่ยนสิ!
credit idea

ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!

ไอเดียน่าอ่านต่อ