โรงเรียนบ้านวังศรี โรงเรียนขนาดเล็กแห่งเดียวในตำบลสบแม่ข่า เหลือนักเรียนเพียง 10 คน กับครู 2 คนถ้วน
และมีงบในการพัฒนาโรงเรียนเพียง 40,000 ต่อปี กำลังจะถูกให้ปิดตัวลง
นี่คือโรงเรียนที่ “ผอ.ไก่” ผอ.ไฟแรงได้รับภารกิจดูแล ถึงแม้เงื่อนไขต่าง ๆ ดูจะไม่เป็นใจให้โรงเรียนนี้ได้ไปต่อ
แต่ผอ.กลับสู้ด้วยความตั้งใจอันแรงกล้า หาวิธี “แฮ็ก” จนโรงเรียนใกล้เจ๊งกลับมาเจ๋งได้ภายใน 6 ปี ผอ.มีวิธียังไงบ้างมาลองเรียนรู้ไปด้วยกัน
เมื่อผอ.ได้ตัดสินใจแล้ว อยากพัฒนาให้โรงเรียนนี้อยู่ได้ เขาจึงเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ โดยการหาเงินมาเพิ่ม จากการนำของที่ยังไม่จำเป็นในโรงเรียนไปขายมือสอง จนเจ้าของร้านเห็นความตั้งใจ นำของมือสองต่าง ๆ มาสนับสนุนโรงเรียน จนตอนนี้โรงเรียนน่าอยู่ น่าเรียน ด้วยพลังของของมือสองแบบนี้
ส่วนของส่วนกลางที่ทำเรื่องเบิกก็ไม่ใช้วิธีเบิกแบบห้องใครห้องมัน แต่เบิกรวมแบบกองกลาง ให้คุณครูทุกคนใช้ร่วมกันรวมถึงให้เด็กนักเรียนใช้ได้ด้วยถ้าต้องการ
วิธีนี้ช่วยให้ไม่ต้องลงทุนซื้อทรัพยากรแบบทีเดียว แต่ลองซื้อมาใช้ชิ้น สองชิ้นก่อน ถ้าเกิดมีประโยชน์และครูใช้งานจริง ค่อยเขียนงบประมาณขอเพิ่มในปีถัดไป นอกจากทรัพยากรที่เป็นตัววัตถุแล้ว ผอ.เชื่อว่าทรัพยากรบุคคลไม่ว่าจะเป็นคุณครู หรือนักเรียนในโรงเรียนก็สำคัญไม่แพ้กัน การจะทำให้เด็กมีความสุขได้ ครู คนทำงานก็ต้องมีความสุขเหมือนกัน
ปกติแล้วโรงเรียนได้งบมื้อกลางวันมื้อละ 21 บาทต่อหัว จะทำยังไงให้ทุกคนได้ทานของคุณภาพดีขึ้น ผอ.สังเกตเห็นว่าถ้าทำแบบที่เป็นมา ให้ครูตักอาหารให้ เด็กก็ทานเหลือ ผอ.จึงเปลี่ยนวิธีการเป็นการให้เด็กตักเอง ซึ่งการเปิดโอกาสนี้ก็ช่วยฝึกเด็กให้ตักแบบพอดีด้วย เมื่อของไม่ต้องเหลือทิ้ง ก็จะสามารถกะปริมาณได้ดีขึ้นและนำเงินส่วนที่เหลือไปเพิ่มคุณภาพอาหารได้อย่างเต็มที่
เมื่อลองทำวิธีนี้แล้ว ผอ.ก็พบกับความท้าทายต่อมา เพราะเมื่อเด็กตักเองก็จะพบว่่าเด็กต้องต่อแถวรอกัน ทำให้ทานได้ช้า เหลือเวลาพักน้อย ผอ.ก็แก้ปัญหาต่อโดย ไม่ต้องให้ทุกคนมาทานพร้อมกัน แต่มีช่วงเวลาไว้ บางคนอาจจะอยากไปเล่นก่อนค่อยมาทานก็ได้ ทำให้โรงอาหารไม่ติดขัด การตัดสินใจแฮ็กแบบนี้ทำให้เห็นว่าผอ.มีความคิดที่ยืดหยุ่น ช่างสังเกตหาสาเหตุและกล้าลองวิธีการใหม่ ๆ เพื่อแก้ไขปัญหามาก
ด้วยความที่จำนวนคุณครูมีอยู่น้อย เลยแฮ็กเพื่อเปลี่ยนบทบาทเด็ก ๆ ให้ได้เป็นครูของกันและกันเอง พร้อมปรับบทบาทให้ครูเป็นโค้ช เน้นเรียนเนื้อหาวิชาการสำคัญ ๆ ในช่วงเช้า พอเข้าบ่ายก็จะนำความรู้เหล่านั้นมาบูรณาการกัน แบ่งเด็กเป็น 10 กลุ่ม คละระดับชั้น เด็กโตดูแลเด็กเล็กและคอยประสานกับครูประจำกลุ่ม พอทำแบบนี้เด็ก ๆ ได้โอกาสในการโชว์ศักยภาพอย่างเต็มที่ ครูเพียงกำหนดธีมการเรียนรู้ เช่น ตลาดออนไลน์ เด็ก ๆ ก็จะตั้งคำถาม บอกสิ่งที่สนใจแล้วพากันทำไปในแต่ละอาทิตย์ เพื่อสุดท้ายลองนำไปขายจริงในตลาดออนไลน์กัน
นอกจากนี้ผอ.ยังดึงรอบ ๆ โรงเรียนมาเป็นครู มีพ่อแม่ของเด็กทำนา ก็พาเด็ก ๆ ไปทำนากัน เรียกได้ว่าดึงผู้คนรอบโรงเรียนมาเป็นครูได้มากมาย
เวลาทำอะไรผอ. จะนำมาปรับให้ง่าย ๆ ให้เข้ากับบริบทของโรงเรียนเสมอ อย่างกิจกรรมจิตปัญญา ตอนผอ.ลองทำตอนแรก ๆ รู้สึกว่าไม่พร้อมย้ายโต๊ะ ที่จะให้เด็กนอนพื้นทำกิจกรรม Body Scan ผอ.เลยยึดที่แก่นของกิจกรรม แต่ทำง่าย ๆ ให้เด็กฟุบนอน 15 นาทีก่อนเริ่มเรียนในช่วงบ่ายแทน
หรือผอ.มองเห็นว่าครูไม่ถนัดวางแผน ถ้าอย่างนั้นก็ทำก่อนเลย ! แล้วค่อยมาถอดบทเรียนเป็นแผนในการพัฒนาต่อไป จาก PDCA (Plan - Do - Check - Act) กลายเป็น DCAP ไปแทน เอา Do หรือทำขึ้นก่อน ถึงไม่เหมือนคนอื่นทำ แต่เป็นการทำงานที่เหมาะกับโรงเรียนบ้านวังศรีจริง ๆ
แถมผอ.ยังเข้าใจบริบทของผู้ปกครองของนักเรียนด้วยว่า เด็ก ๆ อาศัยอยู่กับผู้ปกครองที่ต้องทำงาน หรืออยู่กับตา ยาย อาจจะไม่มีโอกาสสอนการบ้าน ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องมีการบ้านเสียเลย ! ให้ทุกอย่างจบและเรียนรู้ภายในห้องเรียน
ครูทุกคนเอาด้วย เพราะวัฒนธรรมททท(ทำทันที !) ผอ.ให้พื้นที่ลองผิดลองถูก มีไอเดียอะไรทำไปก่อนเดี๋ยวค่อยมาถอดบทเรียนและพัฒนา ถ้ามัวแต่วางแผนคิดเยอะก็จะไม่เกิด แถมยังถูกกรอบด้วยว่าไม่ตอบสิ่งนู้น สิ่งนี้ เคล็ดลับสำคัญคือทำทุกอย่างให้“ง่าย”แต่ละเอียด
อย่างแผนการสอนรายคาบ ผอ.สังเกตว่าอาจจะไม่เหมาะกับการสอนแบบที่นี่ เพราะจะเป็นกรอบที่ทำให้ไม่สามารถยืดหยุ่นได้ตามความอยากรู้ของเด็ก ๆ นัก เลยให้ทำแผนหน่วยรวม ๆ ทั้งเทอมแทนแบบจบในหน้าเดียว แล้วเน้นไปใช้เวลาละเอียดกับการเรียนรู้ของเด็ก ๆ แทน (แต่ๆ ครูต้องละเอียดในกระบวนการไม่ใช่วิธีการ เพราะวิธีนั้นยืดหยุ่นได้ตามการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นระหว่างทางของเด็กๆ)
ซึ่งก็ต้องต่อสู้กับความกลัว เวลาคนมาตรวจสอบโรงเรียนเพราะบางคนก็ไม่เห็นด้วย แต่ผอ.หนักแน่นว่าเราต้องทำให้ง่ายแบบนี้ และเชื่อว่าเด็กได้เกิดการเรียนรู้ขึ้นจากตัวเด็กเองจริงๆ ไม่งั้นครูจะไม่ไปกับเรา ก็ค่อย ๆ พิสูจน์ให้คนที่มาตรวจสอบได้เข้าใจ ถึงวิธีการทำงานของโรงเรียน
ทุกการเรียนรู้เริ่มจากความสนใจของเด็ก ๆ และเป็นพื้นที่ที่ต่อยอด เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เช่น อยู่ๆ ครูเล่าให้ฟังว่าไปเที่ยวมาเจอผีตาโขน เด็กๆ ก็บอกว่าสนใจ อยากลองทำหน้ากากผีตาโขนขึ้นบ้าง ครูก็เลยเปลี่ยนวิธีการสอนเดี๋ยวนั้น ให้เด็กได้ลองศึกษาเรื่องผีตาโขนไปเลย หรืออยู่ ๆ เด็กสนใจเรื่องอวกาศ ก็ย้ายมาเรียนเรื่องอวกาศก่อนก็ได้ เพราะสิ่งที่ยากกว่าการมอบเนื้อหาความรู้ คือการจุดความสนใจของเด็กๆ และหล่อเลี้ยงความอยากเรียนรู้นั้นให้เติบโต แล้วค่อยดูว่าไปตอบโจทย์ตัวชี้วัดไหน สมรรถนะตัวไหนบ้าง
น่าแปลกใจที่สุดท้ายสิ่งที่เด็ก ๆ ได้เรียนรู้และทำได้นั้นไปไกลกว่าระดับชั้นตัวเองเสียอีก
ผลพวงจากการแฮ็กปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมา ทำให้คุณครูมีเวลามากขึ้น พร้อมสร้างการเรียนรู้เพื่อเด็ก ๆ อย่างเช่น การเรียนแบบบูรณาการในคาบบ่าย ทำให้ครูสามารถใช้เวลาทำ PLC กันในพุธบ่ายได้เลย 3 ชั่วโมงเต็ม (2 อาทิตย์ครั้ง)
แล้วผอ.จะติดตามคุณภาพการสอนของครูได้จากไหน ผอ.เปลี่ยนบันทึกหลังการสอนที่ปกติครูจะทำส่ง ๆ ไม่มีใครตรวจ ให้เป็นสมุดไดอารี่ครูที่ครูจะเล่าเรื่องการเรียนรู้ของเด็ก ๆ ที่เกิดขึ้น อย่างอิสระ เช่น วันนี้เด็ก ๆ สนใจอะไร เด็ก ๆ ลองทำอะไรได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นมา จะติดรูปภาพ จะวาดรูปเล่นใส่เพิ่มเข้าไป จะทำในสมุด ใน Canva หรือโพสต์ในเฟสบุ๊คตัวเอง ผอ.ก็บอกว่าได้หมด แถมผอ.ใส่ใจอ่านทุกอาทิตย์และให้ฟีดแบคเชิงบวกเสมอ และไดอารี่นี้ก็นำมาใช้คุยกันตอน PLC อีกด้วย ที่สำคัญครูมีความสุข เด็ก ๆ ก็มีความสุข ไปด้วย
อย่างการส่งนักเรียนไปสอบวัดความรู้ทางวิชาการ อย่างพวก PISA หรือ ONET โรงเรียนส่วนใหญ่จะคัดเด็กไป เพื่อให้โรงเรียนได้คะแนนดี แต่ผอ.มองว่าการวัดความรู้ทางวิชาการคือโอกาสในการรู้ว่าโรงเรียนเราทำได้ดีแค่ไหน จึงผลักดันเด็ก ๆ ได้ลองไปสอบกันทุกคน และผลที่ออกมาก็ค่อย ๆ ดีขึ้นทุกปี ช่วยให้ผอ.ได้ความมั่นใจในสิ่งที่กำลังทำอยู่เพิ่มขึ้นด้วย
แถมผลคะแนนก็ไม่ใช่สิ่งเดียวที่โรงเรียนบ้านวังศรีใช้ประเมินเพื่อสะท้อนการทำงาน การสังเกตในห้องเรียน การดูจากชิ้นงาน การพูดคุย ก็นำมาใช้ประกอบการประเมินเพื่อพัฒนาการสอนด้วยเหมือนกัน และที่สำคัญผอ.ย้ำให้ครูแยกให้ชัดเจนว่าเรากำลังประเมินเรื่องอะไรอยู่ หากสอบวิทยาศาสตร์ ถึงเด็ก ๆ จะเขียนภาษาผิด ๆ มาครูก็ต้องตรวจโดยพยายามเข้าใจว่าเด็กกำลังสื่อสารอะไร เพราะนี่คือวิชาวิทยาศาสตร์เราดูกระบวนการคิดความเข้าใจ ไม่ใช่ที่ภาษาไทยของเด็ก
ผอ.ทำให้ทุกคนรู้สึกว่า เราไม่ต้องพร้อม เราก็ให้ได้ แม้จะเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่ทรัพยากรน้อย แต่ผอ.ก็รับเด็กพิเศษมาเรียนและทำให้เห็นว่าทำได้อย่างมีคุณภาพ รวมถึงให้โรงเรียนเป็นศูนย์ในการรับของมือสองเพื่อส่งต่ออีกด้วย ซึ่งเด็ก ๆ และครูก็ได้ซึมซับการให้นี้
และนี่คือหนึ่งในผอ.นักแฮ็ก ข้อจำกัดและสร้างความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ให้กับโรงเรียน ที่ปัจจุบันโรงเรียนนี้มีแต่คนอยากมาเรียน แถมเด็ก ๆ ที่จบจากโรงเรียนนี้กล้าแสดงออก คะแนนด้านวิชาการก็ดีอีกด้วย
ใครเจอ ผอ. ที่มีแนวคิดดี ๆ แบบนี้อีก ชี้เป้าบอก insKru ได้เลยน้าา
#insผอ #insKru #พื้นที่แบ่งปันไอเดียการสอน
แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru
เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย
ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!