เมื่อครูลองเขียนนิยายสยองขวัญ (2) : ก่อนตีพิมพ์
ต่อจากครั้งที่แล้วครับ คือในรายวิชาการเขียนเรื่องสั้น ผมสร้างข้อตกลงร่วมกับนักเรียนว่า ครูเองก็จะเป็นหนึ่งในนักเขียนเช่นกัน ทำให้ต้องเริ่มลงมือเขียนเหมือนกับนักเรียน และแน่นอนว่าต้องผ่านกระบวนการการเรียนการสอนในห้องเรียนไม่แตกต่างไปจากนักเรียนครับ
กระบวนการในห้องเรียนของผมจะทำเป็ฯลูปขั้นตอนเพื่อฝึกกระบวนการเขียนและรับคำวิจารณ์ไปพัฒนา ดังนี้ครับ
สัปดาห์ที่ 1 ลงมือเขียน
สัปดาห์ที่ 2 นำเสนอหน้าชั้นเรียนแบบสุ่ม
สัปดาห์ที่ 3 ปรับปรุงตามคำวิจารณ์และนำเสนอผลการแก้ไข
สัปดาห์ที่ 4 นำเสนอชิ้นงานสมบูรณ์ และตีพิมพ์ผลงาน
ทุกกระบวนการในการฝึกทักษะการเขียนนั้น ผมยึดหลักคือ นักเรียนไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตน หรือก็คือให้อยู่ในสถานะของนามแฝงหรือนามปากกา (Anonymous) หรือ Pen name ครับผม สาเหตุคือ จากการสังเกตพฤติกรรมตลอดช่วงเวลาที่เป็นคุณครูมาพบว่า นักเรียนจะเขินเอยมากเป็นพิเศษ เมื่อรู้ว่าจะต้องนำเสนองานเขียนของตนเอง โดยเฉพาะงานเขียนที่มาจากจินตนาการ ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องที่เกิดจากการเรียนรู้ แต่เป็นงานเขียนที่มาจากประสบการณ์ รวมถึงผู้ที่วิจารณ์เองก็จะเกิดอาการเกรงใจ เมื่อรู้ว่าเจ้าของงานกำลังนำเสนองานอยู่หน้าห้อง ทำให้ต่างฝ่ายต่างประหม่ากัน กลายเป็นความกดดันไปอีกแบบครับ
ฉะนั้นเพื่อแก้ปัญหาตรงนี้ ผมจึงออกแบบการเรียนการสอนโดยให้นักเรียนใช้เวลาในการคิดนามแฝงของตนเอง และใช้นามแฝงนั้นแทนตัวตนในชิ้นงาน เมื่อส่งเข้ามาก็จะไม่มีใครทราบ (แม้แต่ตัวผู้สอน) ทำให้นักเรียนสบายใจที่จะนำเสนอเนื้อหาที่แตกต่าง พิเศษ และมีพื้นที่ทางจินตนาการมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่ผมอยากแชร์ในวันนี้คือสิ่งนี้ครับ อยากให้คุณครูเปิดใจและเรียนรู้พร้อมกับนักเรียน
ด้วยความแตกต่างของวัย เทคโนโลยี ตอลดจนความคิดและวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปของโลก ทำให้นักเรียนในทุกวันนี้ไม่เหมือนเราที่เป็นนักเรียนในวันนั้นครับ นักเรียนในทุกวันนี้รู้จักกับ Algorhythm ที่ตอบสนองความต้องการของเขาได้ตลอดเวลา และนำเสนอเรื่องราวคล้าย ๆ กัน ซ้ำๆ ทำให้นักเรียนมีแนวโน้มที่จะมีทักษะพิเศษในด้านใดด้านหนึ่งมากเป็นพิเศษ หรือเรียกว่าทักษะแบบผู้เชี่ยวชาญ (Specialist) แตกต่างจากสมัยก่อนที่เราจะถูกสอนให้เป็นผู้รู้รอบ และเก่งในทุกๆ ด้าน (Generalist) เสียมากกว่า ฉะนั้นจึงิาจกล่าวได้ว่า นักเรียนและเรากำลังมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมายที่ต่างกันตั้งแต่เริ่มต้นในห้องเรียนเลย
เปิดใจ และเรียนรู้จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ เพราะด้วยความที่เราเป็นครู เราจึงมักจะใช้แนวคิด กรอบประสบการณ์ และทัศนคติของการมองโลกในสิ่งที่ควรจะเป็น มอบความหวังดี ปรารถนาดี และชี้ชวยสิ่งดีให้ แต่บางครั้งนักเรียนอาจมองว่านั่นคือความจู้จี้ จุกจิก และทำให้ยิ่งเกิดระยะห่างของอคติและทัศนคติที่ไม่ดี
ผมจึงปรับแนวคิดมาเป็น ถ้าเราเป็นนักเรียนในยุคนี้ล่ะ เราต้องการอะไร? แน่นอนว่าในรายวิชานี้ เราเองก็อยู่ในฐานะของนัก (อยาก) เขียนเหมือน ๆ กับนักเรียนนั่นเอง ฉะนั้นถ้าเราวางบทบาทของการเป็นหัวหน้าห้องลง แล้วเป็นสมาชิกในห้องบย้าง ให้นักเรียนวิจารณ์งานของเราโดยที่เขาไม่รู้ว่าเป็นงานของเราบ้างจะเป็นอย่างไร
"เรื่องนี้ไม่สนุกเลย" "น่ากลัวเกินไป" "ใช้ภาษาเข้าใจยาก" "อยากให้เพิ่มตัวละครที่เป็นสัตว์เลี้ยง" หรือแม้กระทั่ง "หนูไม่ชอบเรื่องสยองขวัญค่ะ"
ทุกคำแนะนำที่นักเรียนให้ในฐานะ "เพื่อน" ร่วมรายวิชาทำให้ผมเข้าใจและปรับงานได้ตรงประเด็นมาก ๆ และนักเรียนทำไปโดยบริสทุทธิ์ใจ อื่นใดมันยิ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่า นักเรียนได้อ่านงานชิ้นนั้นจริงๆ และวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ผู้เขียนงานชิ้นนั้นเกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง
แตกต่างไปจากการส่งลิงก์ให้นักเรียนอ่านแล้วบอกว่า วิจารณ์งานเขียนของ"ครู" หน่อย ซึ่งมักจะได้มาเป็นคำตอบว่า
"สนุกค่ะ" "ดีครับ" หรือสุดท้ายอาจได้รับแค่การ "กดไลค์" มาหนึ่งครั้งด้วยซ้ำ ซึ่งไม่รู้ด้วยว้ำว่านักเรียนได้อ่านจริงหรือเปล่า
ในเรื่องของการเรียนรู้ ผมมองว่า การเขียนเป็นทักษะที่สำคัญ เพราะต่อให้เราฝึกมากแค่ไหน เราอาจเขียนได้เร็วขึ้น ยาวขึ้น เราอาจมีศัพท์ใหม่ ๆ มีวิธีการใหม่ แต่กระบวนการนี้ไม่อาจสำเร็จได้เลยหากไม่มีผู้อ่าน และทักษะการอ่านเป็นทักษะที่ยากที่สุดอย่างหนึ่ง เพราะผู้อ่านต้องอุทิศตน ใช้เวลา และอยู่กับตัวอักษรท่ามกลางสิ่งเร้าอื่น ๆ ที่น่าสนใจกว่าในยุคสมัยนี้ ฉะนั้นการที่ครูแฝงตัวลงไปในฐานะนักเรียนเองก็จะช่วยให้นักเรียนกล้าที่จะอ่านงานต่าง ๆ มากขึ้น และครูเองก็อ่านงานอย่างสนุกมากยิ่งขึ้น และรออ่านงานที่สมบูรณ์ของนักเรียนที่ผ่านการขัดเกลามากยิ่งขึ้นด้วย
ลูปสี่สัปดาห์นี้ก็จะใช้ทั้งหมด 4 รอบ เป็นเวลาประมาณ 1 เทอมพอดีครับ แล้วค่อยเฉลยนามปากกา สรุปคะแนนกันในสัปดาห์สุดท้ายเลย เพราะครูจะให้คะแนนมาเรื่อย ๆ อยู่แล้วตลอดทุกชิ้นงาน แค่เปลี่ยนจากให้ตามชื่อของนักเรียนเป็นให้ตามปากกาเท่านั้น
และที่สำคัญที่สุดคือ ต้อง ตีพิมพ์ ครับ เพราะการทำให้ผลงานเผยแพร่สู่คนอื่น ทำให้นักเรียนเห็นคุณค่าของเนื้องานของตัวเองมากขึ้น ว่าไม่ใช่แค่ส่งครูและจบ แต่งานนี้จะถูกส่งต่อให้คนอื่น ๆ เห็นด้วย
ปล. 1 เรื่องของการใช้นามแฝงนั้นผมได้เคยนำเสนอเป็นเปเปอร์งบทความไว้บางส่วนแล้ว ถ้ามีโอกาสในคราวหน้าจะมาเขียนถึงเพื่อขยายความต่อไปครับ
ปล. 2 ครั้งหน้าจะมาแชร์เรื่องการตีพิมพ์ครับว่า จากนัก (อยาก) เขียน สู่การให้นักเรียนเป็นกองบรรณาธิการ มีประสบการณ์อย่างไร
แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru
เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย
หากได้แรงบันดาลใจจากไอเดียนี้เหมือนกัน
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!