🎉เริ่มต้นปีใหม่ ใคร ๆ ก็อยากเปลี่ยนห้องเรียนใหม่ ให้ดีขึ้นกว่าเดิมกันทั้งนั้น
ด้วยความตั้งใจดีของครู สิ่งแรกที่แว้บเข้ามาในหัวอาจจะเป็นความรู้สึกว่า
“ฉันต้องสร้างไอเดีย เกม นวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมา ให้เกิดเป็น best practice”
แต่จริง ๆ แล้ว คุณครูอาจไม่ต้องเหนื่อยในการคิดค้น สร้างอะไร ๆ ขนาดนั้น
เพราะเราทุกคนต่างมีขุมพลังที่เรียกว่า “caring” หรือ “การดูแลเอาใจใส่นักเรียนของเรา”
ที่สามารถต่อยอดเป็นพลังวิเศษที่มีเอกลักษณ์ในแบบของแต่ละคนได้ ซึ่งส่งผลดีต่อชีวิตของนักเรียนเต็ม ๆ แน่นอน
แล้วการดูแลเอาใจใส่ที่ว่า เราต้องทำยังไง ต้องแสดงออกมาได้อย่างไรบ้างล่ะ ?
เพราะการดูแลเอาใจใส่ไม่ได้มีความตายตัวที่แน่นอน สิ่งที่ได้ผลสำหรับคนหนึ่ง อาจไม่ได้ผลดีเท่าอีกคนก็เป็นได้
ถ้าอยากจะเข้าใจการดูแลเอาใจใส่ให้ลึกซึ้งขึ้น ลองนึกย้อนกลับไปในตอนที่เราเป็นนักเรียนดูก็ได้ว่า
เราเจอครูแบบไหนมา ? คุณครูได้ทำอะไรบ้างมั้ยให้เรารู้สึกว่าเขาเอาใจใส่เราอยู่ ? และคุณครูทำอะไรที่มีผลกับชีวิตของเราบ้างมั้ย ?
วันนี้เราอยากนำเสนอพลังวิเศษนี้ ผ่านคุณครูทั้ง 4 คน และอยากชวนกลับมาสะท้อนตัวเองว่าแล้วคุณครูล่ะ อยากใช้พลังวิเศษนี้แบบไหน ?
บทความโดย ครูพล - อรรถพล ประภาสโนบล เรียบเรียงโดย โด้ - เวธน์ มโนจุรีหกุล
🌷เมื่อเรามีคำถามว่าการดูแลใส่ใจคืออะไร หรือเราควรจะใส่ใจดูแลนักเรียนขนาดไหน ครูนกยูง คุณครูชั้นอนุบาลคนหนึ่ง คือผู้ที่ตอบคำถามนี้ด้วยความเชื่อว่า ถ้าเราเคยให้ความรัก ความหวงแหนไม่ว่าจะเป็นลูกหลานหรือสัตว์เลี้ยงของเรามากแค่ไหน เราก็ควรมอบความเอาใจใส่ในแบบเดียวกันให้กับนักเรียนในห้องของเราด้วย
แต่เพียงความเอาใจใส่ในตัวนักเรียนอย่างเดียวก็ยังไม่พอ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าการเป็นครูสอนนักเรียนนั้น ต้องมีความคาดหวังของคุณครูผสมอยู่ไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว บนความคาดหวังที่ครูมีอยู่นั้น เด็กนักเรียนแต่ละคนก็มีความไม่เท่ากันในชีวิตอยู่ด้วย ไม่ว่าจะในด้านจิตใจ ทักษะ หรือชีวิตของพวกเขาเอง
หากจะก้าวผ่านความไม่พร้อมของแต่ละคน เพื่อบรรลุความคาดหวังได้ ครูนกยูงบอกกับเราว่า “การดูแลใส่ใจเด็กๆของเรา อาจจะเป็นการเตรียมความพร้อมให้เด็ก ๆ ก้าวข้ามทุกความไม่พร้อมไปได้ด้วยตัวเอง & If life gives you lemons, make lemonade!“ ค่อย ๆ ใช้พลังวิเศษในการร่ายมนตร์ เพิ่มทักษะในชีวิตกับเด็ก ๆ ซึ่งต้องอาศัยทั้งเวลา ความอดทน และพลังกายใจอย่างมาก แต่คุณครูก็ไม่คิดถอยไปง่าย ๆ
ความเชื่อนี้ก็ถูกถ่ายทอดออกมาในการจัดการชั้นเรียนที่ทุ่มเทเต็มที่ ผสานทักษะชีวิตในทุกด้านเข้าไปกับเนื้อหาหน่วยการเรียนและนิทานที่เด็ก ๆ สนใจ ด้วยความสม่ำเสมอที่ทำตลอดมา ทำให้เห็นผลกับเด็ก ๆ วัยจิ๋วอย่างชัดเจน และทำให้พวกเขาบรรลุตามความหวังของครูนกยูงได้ในที่สุด
🔍ในอีกมุมหนึ่ง การดูแลเอาใจใส่ก็คือความพยายามในการทำความเข้าใจ ทั้งสิ่งที่เขาคิด เบื้องหลังต่าง ๆ รวมถึงความกลัวของพวกเขาด้วย ซึ่งนี่ก็คือความเชื่อของครูนิว คุณครูวิชาสังคมศึกษา ในระดับชั้นประถมเชื่อ เพราะคุณครูเข้าใจว่า “ความกลัว” หรือ “ความกังวล” ที่นักเรียนมีนั้น จะทำหน้าที่เหมือนกำแพงที่มาปิดกั้นให้การเรียนรู้ของพวกเขา เป็นไปได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร
เมื่อครูนิวได้ใช้พลังวิเศษมองลึกลงไป ก็ได้สังเกตเห็นว่านักเรียนในห้อง หลาย ๆ ครั้งมักจะรู้สึกกังวลเมื่อต้องตอบคำถาม ด้วยความที่กลัวตอบ “ผิด” จนกลายเป็นว่าไม่กล้าแม้แต่จะยกมือตอบขึ้นมาเลย หากครูไม่ได้เอาใจใส่ตรงนี้ ก็จะยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เด็ก ๆ เก็บคำตอบไว้ในใจ ไม่ตอบออกมาอีก ประตูการเรียนรู้ตรงนี้ก็จะถูกปิดตายไปนั่นเอง
หากจะให้เด็ก ๆ กล้าคิด กล้าตอบ ครูนิวบอกกับเราว่า “การที่ครูจะต้องใส่ใจกับทุกคำตอบ ทุกความเห็น” คือหัวใจสำคัญ เพราะนั่นคือ “การวางจัดวางตำแหน่งของคำตอบนั้นๆ ในแนวราบให้ได้ เมื่อคำตอบของทุกคนนั้นเท่ากัน อยู่ในแนวเดียวกัน นั่นคือคุณค่าหรือความหมายที่เด็กๆ จะได้รับย่อมถูกแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนโดยไม่ถูกตัดสินจากคนคนเดียว (หรือคนส่วนมาก) ความอยากที่จะให้คำตอบ แสดงความคิดเห็น หรือแสดงออกมาด้วยวิธีการใดๆ ก็ตามจะไม่ถูกจำกัดด้วยความกลัวอีกต่อไป และนี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดประตูสู่การเรียนรู้ในรูปแบบอื่นๆ ที่จะตามมา” ทำให้ในห้องเรียนของครูนิว นักเรียนกล้าตอบ กล้าสื่อสารอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกต้องหรือไม่ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้จากพลังวิเศษในการเข้าใจความกลัวลึก ๆ ของนักเรียนนั่นเอง
🕸️นอกจากนี้การดูแลเอาใจใส่เอง ก็มีมิติในเรื่องความสัมพันธ์ในห้องเรียนเหมือนกัน เราในฐานะครูต้องวางตัวอย่างไร ? ควรคุยนักเรียนได้มากน้อยแค่ไหน ? นี่คือคำถามที่ครูไก่แจ้ คุณครูที่ได้ทำงานโรงเรียนกศน. กว่า 20 ปี น่าจะตอบผ่านความเชื่อของเขาได้ดีที่สุด โดยเขาเชื่อว่าหากนักเรียนสนิทกับคุณครูมากพอ นักเรียนก็จะกล้าพูดคุย บอกเล่าสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตกับคุณครูมากขึ้นกว่าเดิม
พลังวิเศษที่ครูไก่แจ้เลือกใช้ จึงเป็นการยิงใยกระชับความสัมพันธ์กับนักเรียน ด้วยการถามคำถาม พูดคุยตั้งแต่คาบแรก ๆ ที่ได้เจอกัน โดยครูไก่แจ้จะเริ่มจากการให้นักเรียนตั้งคำถามกับตัวเขา ครูรู้สึกอย่างไรที่มาสอนนักเรียนกศน. ? ทำไมครูดูมีความสุขจัง? โดยคุณครูจะค่อย ๆ ทยอยตอบทุกคำถามอย่างตั้งใจจนครบ
ครูไก่แจ้บอกว่า “ บทสนทนาผ่านเรื่องเล่าเหล่านี้ ช่วยเอื้อให้ละวางความเป็นครูกับลูกศิษย์ลง เหลือเพียงความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียม ลดทอนพื้นที่ที่เหินห่าง ขยับกายกับใจให้เข้าใกล้กันมากขึ้น เกิดการเรียนรู้ว่าคนที่ยืนอยู่หน้าชั้นเรียนที่เราเรียกว่าครู ไม่ได้มีอภิสิทธิ์ในการตั้งคำถามเพียงคนเดียวในชั้นเรียน เราทุกคนบนโลกใบนี้มีสิทธิ์ มีเสียงในการตั้งคำถาม หมัดเด็ดส่งท้ายคือการวกกลับมาถามตัวเองด้วยเสียงดังฟังชัดว่า เรามาเรียน กศน. ทำไม? เป้าหมายในชีวิตของเราคืออะไร? ซึ่งคำตอบนั้นสำคัญยิ่งกว่าการหา ³√8 = 2 เสียอีก”
ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากขึ้นจากพลังวิเศษของครูไก่แจ้นี่เอง ที่จะช่วยให้ทุกคำถามและทุกเรื่องราวของนักเรียนทุกคนได้รับการมองเห็น และได้ยินจากครูของพวกเขาอย่างจริงใจ
💪การดูแลเอาใจใส่ในอีกมุมมองนึง ก็คือการที่คุณครูอย่างเรา เข้าไปช่วย “ยืนยัน” และ “ปกป้อง” นักเรียน ซึ่งนี่คือความเชื่อของครูโอบอ้อม คุณครูวิชาภาษาไทย ช่วงชั้นประถมคนหนึ่ง ที่พร้อมเข้าไปยืนยันว่าชีวิตเด็ก ๆ จะไม่ถูกปล่อยปละละเลยไป และช่วยปกป้อง เพื่อให้นักเรียนค่อย ๆ เรียนรู้ ปรับปรุงตัวในสิ่งที่อาจจะพลาดไปได้
ครูโอบอ้อมจึงใช้พลังวิเศษในการฟังอย่างตั้งใจ สังเกต และทำความเข้าใจ ตัวตนของนักเรียนไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย สีหน้าท่าทาง คำพูดที่อาจแสดงถึงความลำบากใจบางอย่าง หรือจากเรื่องเล่าของคนอื่นที่เกี่ยวกับนักเรียนของเรา เพื่อที่ครูจะได้เข้าไปช่วยเหลือ แก้ไข หรือให้คำแนะนำกับนักเรียนทันท่วงที ซึ่งตอบความเชื่อในการยืนยันว่านักเรียน จะไม่ถูกปล่อยปละละเลยไปไหน แต่จะมีครูที่ห่วงใย ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาเสมอ และปกป้องให้นักเรียนสามารถเติบโตได้อย่างมีคุณภาพต่อไป
ถึงจะยืนยัน หรือปกป้องแค่ไหน แต่ครูโอบอ้อม ไม่ได้สปอยล์ หรือตามใจเด็ก ๆ เมื่อรู้หรือเห็นว่าสิ่งที่เด็กทำไป เป็นผลเสีย หรือเรื่องร้ายแรง ครูก็จะเข้าไปตักเตือนอย่างตรงไปตรงมาเสมอ คุณครูได้บอกกับเราว่า “นักเรียนจะรู้ว่าเรารัก เพราะเขารู้ว่าถ้าเขามีปัญหา เราพร้อมจะช่วยเขาเสมอ ถึงแม้ในวันที่เขาไม่น่ารัก เขาก็จะยังไว้ใจที่จะมาปรึกษาเรา เพราะเขารู้ว่ายังไงเราก็รัก เราจะสอนเขาโดยไม่ทำให้เขาอาย และเรารู้วิธีทำให้เขาเป็นคนที่น่ารักขึ้นได้ ตัวเราเองเรียนรู้ว่า นักเรียนจะฟังคนที่เขาอยากฟังและต้องฟัง เขาอยากฟังคนที่เขารัก เขาต้องฟังคนที่เข้มงวด เขาอยากพูดกับคนที่เขาสบายใจ และครูเป็นคนทั้ง 3 แบบนี้ให้เขาได้”
ดังนั้นจึงไม่แปลกเมื่อนักเรียนจบ ป. 6 ไปแล้ว จะสามารถเป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุดได้ รวมถึงมักกลับมาบอกคุณครูอยู่เสมอ ๆ ครูโอบอ้อมได้เล่าให้เราฟังว่า “ครูเป็นคนที่ support มาก ถึงแม้ตอนสอนครูจะดุแค่ไหน แต่ครู support พวกหนูทุกคนเลย” นอกจากนี้นักเรียนยังรับรู้ได้ถึงการดูแลเอาใจใส่จากครูเสมอ เขาเองก็มีความเอาใจใส่กลับไปที่คุณครู ไม่อยากทำให้เสียใจเช่นกัน อย่างที่นักเรียนเคยกลับมาเล่าให้คุณครูฟังว่า “ตอนนี้ผมดื่มเหล้าแล้วนะ แต่ไม่สูบบุหรี่นะ ผมจำได้ว่าครูไม่อยากให้ทำ ครูจะเสียใจ”
ทั้งหมดนี้ก็คือตัวอย่างของการมองกลับไปทบทวนถึงขุมพลังข้างในที่เรียกกันว่า “การดูแลเอาใจใส่” เพื่อสร้างพลังวิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ของครูทั้ง 4 คน มาใช้ในห้องเรียนจนได้ผลดีขนาดนี้ แล้วคุณครูที่อ่านอยู่ล่ะ พลังวิเศษของคุณครูคืออะไรกันนะ ?
ลองขุดคุ้ยขุมพลังนี้ เพื่อสร้างพลังวิเศษเปลี่ยนห้องเรียนรับปีใหม่นี้กันได้เลย insKru เป็นกำลังใจให้คุณครูทุกคนน้า แล้วอย่าลืมมาแบ่งปันห้องเรียนของคุณครูได้ที่เว็บ inskru.com เลย
แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru
เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย
ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!