สรุปบทเรียนจาก
“เมื่อครูลองเขียนนิยายสยองขวัญ”
กลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง
“ครูก็คือผู้เรียนคนหนึ่ง”
คือแนวคิดที่เริ่มต้นให้ผมลองสร้างห้องเรียนที่ไม่ “ไม่รู้จักตัวตนของกันและกัน”
ระหว่างครูผู้สอนและนักเรียน นำพาไปสู่ “การตั้งกติการ่วมกันกับนักเรียน” ในการเป็นสำนักพิมพ์จำเป็น
ที่ผู้เรียนจำเป็นต้องประเมินผลงานของกันและกันอย่างเข้มงวด จริงจัง
รวมถึงสอนกระบวนการคิดของการเป็นเจ้าของกิจการ (Entrepreneurship) และสุดท้ายท้าทายขีดจำกัดของความเป็นครู
ด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของห้องเรียนด้วยการลงมือเขียนนิยายสยองขวัญ
ทั้งหมดทำให้รู้ว่า
โลกของการเรียนรู้ไม่เคยหยุดนิ่ง
และเราในฐานะคนที่เป็นครูยิ่งควรเป็นคนที่เรียนรู้ให้มากที่สุด
เพื่อนำบทเรียนจากการเรียนรู้ของตน มาสร้างเป็นห้องเรียนที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
ตามทันความเปลี่ยนแปลง และเป็นประโยชน์แก่ผู้เรียนในห้องเรียนให้ได้มากที่สุด
การเริ่มต้นแนวคิดนี้
ทำให้ผมได้ออกจากพื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone) ที่ว่า ครูเป็นผู้ที่มีบทบาทในห้องเรียนคือเป็นผู้ให้ (Giver) ทั้งให้ความรู้
ให้แบบอย่าง ให้ความคิด และให้คำตอบของคำถามต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
และนักเรียนอยู่ในฐานะของผู้รับ (Receiver) ทำให้เกิดสภาวะการเรียนแบบ
Passive ที่นักเรียนไม่ได้มีส่วนร่วมใด ๆ ในห้องเรียน
ทำให้ห้องเรียนไม่สนุก
และสูญเสียบทบาทสำคัญของห้องเรียนในฐานะแบบจำลองของโลกจริงที่นักเรียนจะได้เผชิญ
ในยุคที่นักเรียนมี CHATGPT
GEMINI AI ต่าง ๆ คอยให้คำตอบ ยกตัวอย่าง และสืบค้นข้อมูลทุกอย่างเพียงแค่ปลายนิ้วคลิก
บทบาทของครูถูกลดความสำคัญลงอย่างมาก ยังไม่รวมถึงรูปแบบใหม่ ๆ ของการเรียนรู้ไม่ว่าจะเป็นคลิปวิดีโอ พอดแคสต์
ที่มีอยู่มากมายในอินเตอร์เน็ต บทบาทของครูผู้สอนถูกลดความสำคัญลง ฉะนั้นผมคิดว่า
การออกจากพื้นที่ความปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากสำหรับบทบาทของครูทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ฉะนั้นห้องเรียนจึงไม่ควรอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่มีครูเป็นผู้จัดกระบวนการเรียนรู้
แต่จะดีกว่าไหม หากให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการคิด ออกแบบ ตัดสินใจ ร่วมกับครู
ละสายตาจากหน้าจอ และมองเพื่อนร่วมมือ ถอนปลายนิ้วออกจากแป้นพิมพ์ กลับมาจับปากกา
ดินสอ เรียนรู้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ค่อยๆ ใช้น้ำยาลบคำผิด หรือยางลบ
แทนที่จะปกปิดความผิดทั้งหมดด้วยการครอบถมดำ กดปุ่ม Delete หรือ
Backspace แล้วความผิดทั้งหมดนั้นก็จะหายไป
ห้องเรียนรายวิชา การเขียนเรื่องสั้น
เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ผลักดันให้ผมออกจากพื้นที่ความปลอดภัยที่สร้างขึ้นมาเอง
จากที่คิดว่า การทำงานเป็นครู ควรใส่ใจ 100 เปอร์เซ็นต์ที่นักเรียน เตรียมการสอน
ออกแบบประเมิน วัดผล และตั้งใจสอน แต่ในความเป็นจริงเรา ในความเป็นครู
เรากำลังทอดทิ้งนักเรียนคนหนึ่ง นั่นคือตัวเราเอง
เราเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ
ครั้งสุดท้ายเมื่อไร?
เราลงมือเขียนอะไรสักอย่างครั้งสุดท้ายเมื่อไร?
เราเดินเข้าห้องเรียนด้วยความตื่นเต้นที่ได้เรียนรู้เรื่องใหม่
ๆ ครั้งสุดท้ายเมื่อไร?
ผมเริ่มต้นเขียนนิยายสยองขวัญในช่วงปีที่
10 ของการทำงานเป็นคุณครู หากเปรียบเทียบเป็นช่วงอายุของนักเรียน
ช่วงเวลาการเรียนรู้ตลอดสิบปีที่ผ่านมาก็เปรียบได้กับเด็กประถมต้น
อยู่ในวัยที่กำลังเริ่มเรียนรู้และกำลังหาเส้นทางของตนเอง เรียนรู้ทั้งสิ่งที่ชอบ
ไม่ชอบ เรียนรู้ที่จะเรียนรู้ เรียนรู้ที่จะเข้าใจ
10 ปีที่ผ่านมา ที่ผมลืมนักเรียนคนนี้ไป
ตอนนี้ ผมกลับมารับเด็กนักเรียนคนนี้กลับสู่ห้องเรียนอีกครั้ง
และเด็กนักเรียนคนนั้นก็คือผมเอง
ตลอดเวลาที่ผมเขียนถึงเรื่องของ“เมื่อครูลองเขียนนิยายสยองขวัญ”
ผมมักเขียนถึงแต่ข้อดีของวิธีการแบบนี้ แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับเพื่อนครูทุกคนคือ
มันใช้พลังงาน ความกล้าหาญ และอื่นใด มันต้องได้รับการสนับสนุนจากคนรอบข้าง
ฉะนั้นผมขอใช้พื้นที่ตรงนี้ขอบคุณผู้อำนวยการโรงเรียน
และหัวหน้าสาขาวิชาศิลปศาสตร์ต้นสังกัด ที่ให้กำลังใจและคอยช่วยเหลือผมอยู่เสมอ
แม้นิยายที่ผมเขียนจะไม่ได้มีคนอ่านมากมายอะไร
แต่ผมก็ยังจะเขียนต่อไป
และจะพยายามออกจากพื้นที่ปลอดภัยอีกครั้งด้วยการนำเสนอนิยายเรื่องนี้ให้กับทุกคนที่ผมรู้จัก
มันต้องใช้ความกล้า ความพยายาม
และนั่นคือบทเรียนที่ผมอยากสอนให้กับตนเองได้เรียนรู้ และยิ่งไปกว่านั้น
มันจะเป็นเครื่องยืนยันกับนักเรียนคนอื่น ๆ ที่ถามผมว่า
“อาจารย์สอนเรื่องการเขียน
แล้วอาจารย์เคยลงมือเขียนจริง ๆ ไหม”
ครั้งนี้ผมจะตอบไปอย่างภาคภูมิใจว่า
“เคยสิ และครูก็อยากให้เธออ่านงานของครูด้วย”
ขอให้กำลังใจกับครูทุกคน
และพบกันที่บทความใหม่ในครั้งหน้าครับ
แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru
เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย
ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!