“...ทุกวันนี้ เค้าสอนวิชาแนะแนวกันแบบไหน?... แล้วนักเรียนคิดอย่างไรกับวิชานี้...”
เมื่อลองรวบรวมความเห็นจากกระทู้ในเวป pantip ก็พอสรุปได้ว่า เด็ก ๆ มีทัศนะที่หลากหลายกับวิชาแนะแนว คือ
1) แม้จะเป็นวิชาที่ครูไม่ค่อยสอนอะไร แต่มีเอาไว้ก็ดีเพราะเป็นคาบว่าง
2) ไม่ต้องมีวิชานี้ก็ได้ เพราะเรารู้เป้าหมายตัวเองอยู่แล้ว หาข้อมูลเองก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปถามครู เพราะบางครั้งครูก็แนะนำไม่ตรงจุด
3) รู้สึกชอบ สนุก เพราะรู้สึกมีอิสระทางความคิด เป็นตัวเองได้เต็มที่ ไม่ถูกกดดัน
และ 4) ที่สำคัญก็คือ ตัวของครูแนะแนวเอง เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เด็กสนใจอยากเรียนและจะตั้งใจเรียนหรือไม่
ในมุมมองของครูภี มิติ โอชสานนท์ ครูแนะแนวของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา คิดว่า “...หัวใจหลักของการแนะแนว คือเป็นที่ปรึกษาที่ดีในทุกด้านให้กับนักเรียน ทั้งเรื่องการเรียน หรือปัญหาส่วนตัว ครูแนะแนวต้องทำให้เด็กเชื่อใจ พร้อมรับฟังเพื่อช่วยแก้ปัญหา ไม่ตัดสินถูกผิด และเก็บความลับของเขาได้ แล้วนักเรียนก็จะเปิดโลกของเขาให้ครูได้ก้าวเข้าไป...”
เพราะการเรียนการสอนในสาระอื่น ๆ ล้วนมีคะแนนและชี้วัดด้วยเกรด ขณะที่วิชาแนะแนวมีเพียง ...ผ่าน และ ไม่ผ่าน... ที่วัดจากการเข้าเรียนหรือการส่งงานเท่านั้น เป็นวิชาที่เหมือนถูกมองข้าม จึงกลายเป็นโจทย์ใหม่ที่ท้าทายว่า “จะทำอย่างไรที่จะสร้างวิชาแนะแนวให้มีบรรยากาศการเรียนที่สนุก น่าสนใจ เกิดเรียนรู้ ที่เสริมและควบคู่กับการปลูกฝังทักษะชีวิตได้”
ในคาบเรียน...ครูภีเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ มีส่วนร่วมออกแบบการเรียนของพวกเขาได้ โดยยึดหลักการเน้นให้เด็กเรียนรู้ที่จะเข้าใจและเห็นคุณค่าในตัวเอง รวมถึงเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุขในอนาคต ด้วยแนวคิดและกระบวนการที่หลากหลาย ซึ่งมาจากความสนใจของนักเรียน กระแสในโลกออนไลน์ หรือปรากฏการณ์ในสังคมขณะนั้น ตัวอย่างเช่น...
-กิจกรรม “จดหมายถึงเพื่อนที่ถูกบูลลี่” ซึ่งการบูลลี่ (bully) เป็นพฤติกรรมการกลั่นแกล้ง รังแกผู้อื่น ทั้งทางวาจาและร่างกาย ทั้งการล้อเลียนรูปร่างหน้าตา เพศสภาพ สถานะทางสังคม ทำร้ายร่างกาย รวมถึงการประจานกันทางโซเชียลมีเดีย
การบูลลี่กันที่โรงเรียน อาจถูกมองเป็นเพียงแค่เรื่องการพูดหยอกล้อ หรือแกล้งกันเล่น ๆ ของเด็ก แต่สำหรับเด็กที่ถูกกระทำแล้ว เขาจะรู้สึกว่านั่นคือเรื่องใหญ่ที่เป็นปมฝังลึกในชีวิต และสะท้อนให้เห็นปัญหาของเด็กที่ถูกทอดทิ้งให้โดนรังแกไปเรื่อย ๆ อย่างโดดเดี่ยว
“...จดหมายถึงเพื่อนที่ถูกบูลลี่ จะช่วยทำให้นักเรียนเข้าใจถึงปัญหาผ่านประสบการณ์ของเพื่อน ๆ แต่ละคน เด็ก ๆ จะได้ปรับโฟกัสสายตาแห่งความเท่าเทียมที่มองเห็นคุณค่าของคนที่เท่ากัน เพื่อนำไปสู่การช่วยเหลือกัน ให้กำลังใจและดูแลจิตใจกัน รู้จักการให้เกียรติ และเคารพซึ่งกันและกัน...”
(ไอเดีย จดหมายถึงเพื่อนที่ถูกบูลลี่) https://inskru.com/idea/-MOUZ6EuJNz5nXq_ljwH
-กิจกรรม “รู้เท่าทันสื่ออย่างสร้างสรรค์” ในยุคที่การสื่อสารทางโซเชียลมีเดีย ที่เปรียบเหมือนการย่อโลกที่กว้างใหญ่ให้เล็กลง จึงเกิดสื่อต่าง ๆ มากมายและหลากหลาย ให้ได้อ่าน ได้ฟัง แต่บางครั้งเด็ก ๆ ก็ขาดการคิดวิเคราะห์ข้อเท็จจริง จนหลงเชื่อและนำไปสู่ความเข้าใจที่ผิดได้
ครูภี ออกแบบกระบวนการเรียนเพื่อรู้เท่าทันสื่อ ด้วยการให้เด็ก ๆ จับกลุ่มกันอย่างอิสระ แล้วเลือกชนิดของสื่อที่สนใจ ซึ่งมีทั้ง สื่อสิ่งพิมพ์ ละครทีวี และสื่อออนไลน์ จากนั้นก็ลงมือค้นคว้าหาข้อมูล และคิดค้นกระบวนการวิเคราะห์สื่อนั้นด้วยตัวเอง โดยใช้หลักการและขั้นตอนสำคัญ คือ
1) การเปิดรับสื่อ เพื่อเรียนรู้และแยกแยะได้ระหว่างการเสพสื่อด้วยอารมณ์และความคิด
2) การวิเคราะห์สื่อ เพื่อวิเคราะห์วัตถุประสงค์การนำเสนอของสื่อนั้น
3) การเข้าใจสื่อ เป็นการตีความหลังจากรับสื่อนั้นไปแล้ว
4) การประเมินค่าสิ่งที่สื่อนั้นนำเสนอ ทั้งคุณค่าและคุณภาพในทุก ๆ ด้าน
5) การใช้สื่อนั้นให้เกิดประโยชน์ ซึ่งแม้ว่าอาจพบข้อเสียก็ตาม เพราะในความเป็นจริงเราก็ไม่อาจหนีออกไปจากโลกของสื่อได้
เมื่อชิ้นงานของเด็ก ๆ เสร็จสิ้น และได้มานำเสนอแลกเปลี่ยนกันแล้ว ก็ต่อด้วยการทำโจทย์เพื่อนำไปสู่การอภิปราย ได้แก่ 1) การนำผลการวิเคราะห์ไปปรับใช้ประโยชน์ 2) การเลือกรับและแยกแยะสื่อให้เป็น 3) การส่งสารต่อไปยังผู้รับสารอื่น 4) การมีปฏิกิริยาตอบกลับสื่อได้
แม้จะฟังดูเป็นภาษาวิชาการยาก ๆ แต่เด็ก ๆ ก็ทำผลการวิเคราะห์ออกมาได้ดี มีมุมมองที่หลากหลายน่าสนใจ ซึ่งนอกจากความรู้ที่ได้รับจากกิจกรรมนี้แล้ว ครูภีก็เสริมต่ออีกว่า เด็ก ๆ ได้ถูกปลูกฝังทักษะชีวิตสำคัญในอีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะการทำงานร่วมกันเป็นทีมในโจทย์ที่สนใจร่วมกัน ซึ่งต้องมีการแบ่งบทบาทหน้าที่จากความเชี่ยวชาญของแต่ละคน เรียนรู้การจัดการปัญหาหรือความขัดแย้ง รวมถึงความรู้สึกภูมิใจร่วมกันที่ทำงานสำเร็จลุล่วง ซึ่งจะเป็นทักษะที่ติดตัวพวกเขาไปและมีประโยชน์กับการใช้ชีวิตในอนาคต
นอกคาบเรียน ครูภีใช้ “ห้องแนะแนว” เป็น save zone ที่สร้างสรรค์ จัดพื้นที่สำหรับให้เด็ก ๆ ใช้รวมกลุ่มวางแผนทำกิจกรรม นั่งติวข้อสอบ เข้ามาใช้อินเตอร์เน็ตค้นคว้าข้อมูล หรือจะแวะมานั่งเล่น พูดคุย สัพเพเหระกันก็ได้ และยังเป็นที่รวมข่าวสารต่าง ๆ ซึ่งนำไปใช้วางแผนเรียนต่อ เรียกว่าเป็นการย่อโลกที่เป็นสังคมอุดมปัญญามาไว้ในห้องเล็ก ๆ นี้เลยทีเดียว
หรือแม้ในยามที่เด็กบางคนกำลังสับสน มีปัญหาทั้งเรื่องการเรียนหรือชีวิตส่วนตัว “...อย่างน้อยห้องนี้ก็ยังเป็นที่ให้หลบมานั่งพัก มีครูที่พร้อมรับฟัง พึ่งพา พูดคุยได้ และพร้อมจะช่วยให้เขาผ่านพ้นปัญหานั้นไปเท่าที่จะทำได้...”
ปัญหาที่เด็ก ๆ มาปรึกษาครูภีก็มีหลายเรื่อง ตั้งแต่ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย การคบเพื่อน การมีคนรัก ความต้องการเป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้าง ความอยากรู้อยากลอง ความคิดที่แตกต่างจากคนอื่น ความไม่เข้าใจกับครอบครัว การไม่ชอบถูกบังคับ การต้องตัดสินใจในบางเรื่อง ฯลฯ รวมถึงเรื่องการเรียน หรือแนวทางการศึกษาต่อในอนาคต ที่สะท้อนให้เห็นว่าเด็กยุคนี้กล้าคิด กล้าพูด กล้าเดินเข้ามาปรึกษาครูมากขึ้น ดังนั้นครูภีจึงต้องทำตัวเป็นเสมือนทั้งเพื่อน พ่อแม่ ที่สร้างความเชื่อใจให้เกิดขึ้น คอยสอบถาม ให้กำลังใจ ปลอบใจ แนะนำ และหาทางออกของปัญหานั้นไปพร้อมกัน
ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่ถาโถม ครูภีเชื่อมั่นว่า “...ความสำเร็จของเด็กคนหนึ่ง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับครูคนเดียวหรือกลุ่มเดียว แต่ครูทุกคน และศาสตร์ในทุกสาระวิชาล้วนมีบทบาทที่สำคัญต่ออนาคตของลูกศิษย์ แม้จะมีหน้าที่การสอนในวิชาที่แตกต่างกัน และจิตวิญญาณความเป็นครูของทุกคนนั่นเองที่จะช่วยหล่อหลอมและผลักดันให้เด็ก ๆ เติบโต และก้าวสู่ชีวิตที่ประสบความสำเร็จได้ในที่สุด
แสดงความเห็นกับสมาชิกใน insKru
เก็บไอเดียไว้อ่าน และอีกมากมาย
ได้แรงบันดาลใจเต็มๆ เลยใช่มั้ย?
บันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเก็บไว้ไม่มีลืมผ่านการเขียนไอเดียเลย!