ไอเดียนี้คือสอนให้เด็กรวยก่อนจบ โดยการโคชชิ่งจาก กูรูด้านนั้นๆ ไม่ใช่นักวิชาการ
ให้นักเรียน ครู ลิสต์รายชื่อทักษะและอาชีพที่จำเป็นในชีวิตที่ต้องพบเจออย่างแน่นอน โดยดูจากเทรนด์ กระแส อาชีพที่กำลังมาแรงในปีนั้น ย้ำว่าดูกระแสในปีที่ตัวเองเรียน ห้ามดูกระแสของ 10 ปีที่แล้ว ไม่งั้นจะตกเทรนด์ และทักษะที่ต้องพบเจอ ห้ามสอนเลคเชอร์ แต่ให้ปฏิบัติจริง เมื่อรวบรวมทักษะทั้งหมด ให้คัดทักษะที่ซ้ำกันหรือไม่จำเป็นออกไป สมมติมีอยู่ 100 ทักษะ คัดเหลือ 50 ทักษะ และ 50 ทักษะนี้ไม่ใช่ว่าเรียนจบภายในเทอมเดียว แต่ 1 ทักษะจะใช้เวลา 1 เดือนเมื่อจบหลักสูตร ผู้เรียนเลือกเองว่าจะไปเรียนทักษะใดต่อ
ทางสถาบันไม่มีอำนาจ บังคับ กำหนดให้ผู้เรียนต้องเรียนอะไรบ้าง ไม่เช็คเวลาเรียน เพราะถือว่าผู้เรียนได้เลือกลงเอง
แต่สถาบันอาจกำหนดคร่าวๆได้ว่า วิชาที่จำเป็นต้องลงเรียน เช่นซ่อม... ขับรถ... ทำอาหาร.... เพราะถือเป็นวิชาที่ในชีวิตต้องใช้และขาดไม่ได้
ผู้สอน มีหน้าที่ อำนวยความสะดวก ประสานงาน เป็นเหมือนครูผู้ช่วย
ไม่ควรเอาหลายวิชามาปนกันหรือสอนหลายวิชาพร้อมกันแบบ 7 กลุ่มสาระ
แต่ควรสอนแค่วิชาเดียวจัดเต็ม 1 เดือนเต็มๆ เพื่อไม่ให้หลุดโฟกัส และทำเงินได้เร็วสุด
ถ้าพูดง่ายๆก็เหมือนวิชาเลือกในมหาลัย แต่เป็นวิชาเลือกที่ ไม่มีภาคเลคเชอร์ มีแต่ภาคปฏิบัติและ เน้นกลุ่มเล็กๆ 2-3 คน ที่ไม่รู้จักกัน หากทำงานด้วยแล้วไม่พอใจสามารถขอเปลี่ยนได้ เป็นวิชาเลือกที่เชิญคนรวย กูรู ในด้านนั้นมาสอนไม่ใช่อาจารย์
ใส่ชุดอะไรก็ได้มาเรียน เหมาะสมกับวิชานั้น ถ้าเป็นวิชาอันตรายต้องใส่ชุดรัดกุม
เมื่อได้ทักษะแล้วเชิญผู้เชี่ยวชาญ โค้ช กูรู ต้องเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในด้านนั้นจริง ไม่ใช่อาจารย์หรือนักวิชาการ ต้องทำเงินในธุรกิจนั้นมาแล้ว โดยเราให้ค่าจ้างหรือส่วนแบ่งในคอร์สในขณะที่กูรูท่านนั้นเสียเวลามาสอน
เชิญมาหลายๆท่าน อย่าเชิญมาแค่คน สองคน
สมมติเชี่ยวชาญเรื่องเพศ เชิญมา 4 ท่าน ให้แต่ละท่านเป็นหุ้นส่วนท่านละ 10% อีกที่เหลือนำไปพัฒนาหลักสูตร อุปกรณ์อำนวยการสอน
ให้ลงมือปฏิบัติเลยโดยไม่สอนก่อนนั้น เมื่อผู้เรียนปฏิบัติไป จะทำไม่เป็น มีข้อสงสัย ทำผิด ถึงตอนนั้นเราจะไกด์ให้เขาไปหาความรู้เอง หรือ ถามกูรู เพื่อให้เขาเรียนรู้ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง นั่นเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดในชีวิต แต่ละคนจะมีพื้นฐานไม่เท่ากันอยู่แล้ว
ตัวอย่างทักษะจำเป็นและอาชีพ ขออภัยหากทักษะ กับ อาชีพ ปนกัน ขอให้ท่านแยกให้ออก
อีกร้อยแปดทักษะ ลองไปหาดูนะครับ คาดว่า ไม่เกิน 100
ที่จำเป็นต้องเชิญ คนระดับประเทศ ระดับโลกมานั้น เพื่อที่เราจะให้เด็กเราเติบโตไปเป็นแบบนั้น และมาพัฒนาประเทศของเราได้ ให้รู้จักมืออาชีพ ของจริงทำกันยังไง
ย้ำว่าหลายคนอาจพูดว่า จะเป็นไปได้หรอ "ที่ไม่เรียนเลคเชอร์เลย มาเรียนภาคปฏิบัติ
ผมตอบได้เลยว่า เป็นไปได้และเป็นอยู่ตลอดครับ คุณอาจเคยชินกับการเรียนแบบนี้ และผลลัพธ์ เป็นยังไง ? คนละเรื่องใช่ไหม
คนละอารมณ์ คนละความรู้สึก
สมมติผมสอนคนจัดกระดูก ผมเอาเด็กมาทำให้ดู แล้วให้ทำตาม" คุณอาจเถียงว่า อุ๊ย เดี๋ยวจัดผิด เส้นยึด เป็นอันตรายขึ้นมาทำไง นั่นเป็นหน้าที่ เทคนิคของผู้สอนที่ต้องละเมียดละไม และรอบคอบ สอนไปลงมือทำไป ทุกครั้ง
งั้นมาเปรียบเทียบอีกนะครับ ถ้าเราสอนแบบเลคเชอร์ก่อนแล้วค่อยมาปฏิบัติ แบบยุคไดโนเสาร์เลย เลคเชอร์ 3ชั่วโมง ปฏิบัติ3ชั่วโมง
เลคเชอร์เรื่อง เส้นประสาทในร่างกายที่ต้องระวัง โครงสร้างกระดูก บลาๆๆๆ พอมาถึงภาคปฏิบัติ เห็นคนตัวจริงๆ ผิวหนังคลุมหมด คนละเรื่องไหมครับ ? เช่นเดียวกันกับไฟฟ้า ถ้าสอนที่จำเป็น สอนไปลงมือทำไปแค่พอใช้อุปกรณ์กับแก้ปัญหา การไหลกระแสไฟ แค่นั้นพอ เรื่องอิเล็กตรอน วิธีคำนวณ ไว้ปลดหนี้ที่บ้านได้ ค่อยกลับมาเรียนครับ เสียเวลา
อีกตัวอย่างนึง เรื่องเขียนแอป เราไม่ต้องไล่เบสิคเขียน hello world จบเทอมนึงทำข้อสอบเหมือนแต่ก่อน
แต่การสอนเทคนิคนี้คือ เอาของจริงมาโชว์และให้ทำตาม จากนั้นลงขาย ได้เงิน ง่ายไหมครับ?
ขึ้นกับวิชาและเทคนิคของผู้สอน กูรูแต่ละท่าน แต่โดยรวมแล้ว ทักษะที่จำเป็นเหล่านี้มันต้องลงมือเท่านั้น ถูกไหมครับ ?
สำหรับท่านที่อ่านไอเดียนี้ น่าจะเคยล้างแอร์ ทำน้ำเต้าหู้ หรือ เปิดฝากระโปงรถ หาสาเหตุ แล้วก็เปิดยูทูปไปทำตามไป ใช่ไหมครับ นั่นแหละคือสิ่งที่ผมจะบอก
ไม่ใช่การดูพาวเวอร์พอยต์ 3 ชั่วโมงในห้อง แล้วย้ายที่ไปลงมือทำแลปกัน เป็นไอเดียที่ประหลาดแต่ก็ยังทำกันอยู่
สมมติสอนไปแล้ว 5 วันให้เด็ก สร้างร้านขายสินค้า หรือให้บริการ และเน้นผลลัพธ์เป็น รายได้ที่เกิดขึ้น
ไม่มีคะแนน ไม่มีเกรด โดยอาจเป็นรายได้ขั้นต่ำ 100 บาทใน หลักสูตรเดือนนั้น ถ้าไม่ผ่านสามารถลงเรียนใหม่หรือไปเรียนวิชาอื่นก่อนได้
ส่วนตัวผมจบคณะวิทยาศาสตร์มา แต่ไม่มีความเห็นเรื่องฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เพราะเห็นว่า มันไม่จำเป็นต้องเรียน !
สุดท้าย เป้าหมายเราคือ